วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564

เรื่องเล่า นิยายก่อนนอน ตอนจบ

 เรื่องเล่า นิยายก่อนนอน ตอนจบ

เมื่อผมได้ยินเสียงนั้นถ้าเป็นคนปกติแน่นอนว่าเราจะต้องเลือกที่จะหันหลังกลับไปตามต้นทางที่มาของเสียงแต่ปรากฎว่าตอนนั้นอะไรมันดลใจให้ผมเลือกที่จะหันหน้าเข้าไปมองใน Canteen แทนที่และทันทีที่สายตาของผมสอดส่องเข้าไปในห้องกระจกนั้นผมเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งสวม Uniform พนักงาน ที่น่าประหลาดใจคือ Uniform ที่เขาสวมนั้นมันเป็น Uniform เก่าซึ่งใช้ก่อนที่โรงแรมจะถูกคลื่นยักษ์สึนามิเข้าถล่ม


ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกกลัวมากครับ อาการเหมือนคนกำลังจะเป็นลม หูมันอื้อไม่ได้ยินอะไรและที่แทบทำผมช็อคคือผู้ชายที่ผมเห็นในห้อง Canteen ค่อยๆ หันมามองหน้าผมแล้วทำท่าเหมือนจะกวักมือเรียก สภาพผมตอนนี้เหมือนถูกสะกดจิตเพราะจะก้าวขาวิ่งก็ก้าวไม่ออก จะร้องให้คนช่วยก็ร้องไม่ได้ และเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกเหมือนเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดผู้ชายคนนั้นเริ่มค่อยๆเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆผมในตอนนี้แทบจะไม่มีแรงยืนอีกต่อไป สภาพร่างกายตอนนั้นใกล้เคียงกับคำว่าแทบล้มทั้งยืนเพราะทำอะไรไม่ถูกจริงๆ แล้วจู่ๆ ด้านหลังผมเหมือนมีมือมาแตะที่ไหล่ ซึ่งไม่น่าจะใช่มือของชายคนที่อยู่ใน Canteen เพราะตอนนี้เค้าเพิ่งจะเริ่มก้าวเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ แล้วมือที่แตะไหล่นี้มันของใครนะ??? 


ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรก็มีเสียงเรียกกลับมาเฮ้ย..มึงมาทำอะไรพร้อมเขย่าตัวผม ทำให้ผมตื่นจากภวังค์และรู้สึกตัวก่อนรีบหันไปแล้วพบว่าที่มาของเสียงนั้นคือพี่เดชที่ตอนนี้ยืน งง ว่าผมมาทำอะไร แกเขย่าตัวผมอยู่สักพักผมที่เริ่มรู้สึกตัวก็บอกว่าพี่เดช ผมว่าผมเจอหว่ะพี่เดชได้ยินก็ทำหน้า นิ่งไปพักนึงแล้วก็ถามผมมาว่ามึงอย่าบอกกูนะว่ามึงลงไปที่ครัวมากูบอกแล้วไงว่าอย่าไป ผมที่ตอนนั้นเหมือนสติหลุดก็รีบพาพี่เดชเดินออกมาให้พ้นจากตรง Canteen มายืนอยู่มุมหนึ่งของทางเดินแล้วก็เร่ิมสาธยายเล่าเรื่องต่างๆ ให้แกฟังทั้งหมดทั้งเรื่องที่ได้ยินเสียงอุปกรณ์ในห้องครัว เรื่องฝรั่งที่เจอเข้าไปในห้อง GM และที่พลาดไม่ได้เรื่องใน Canteen


พี่เดชแกยืนฟังอย่างสงบ รอจนผมพูดจบแล้วแกก็พูดขึ้นมาว่าในเมื่อมึงเจอขนาดนี้แล้วเดี๋ยวกูจะเล่าให้ฟังแล้วกันแกเริ่มเล่าตั้งแต่ห้องครัวก่อนเลยว่าที่ผมได้ยินเสียงทำครัวนั้นมันเป็นสาเหตุเดียวกับที่แกไม่อยากให้ผมลงมาตอนช่วงตี 3 เพราะเป็นเวลาที่เพื่อนแกซึ่งเสียชีวิตไปจากเหตุการณ์สึนามิชอบมาปรากฎตัวให้เห็นเหมือนยังเข้าใจว่าตัวเองต้องมาทำงานอยู่ ส่วนเรื่องของฝรั่งที่เจอนั้นเป็น GM คนเก่าที่เสียชีวิตไปจากการที่แกพยายามจะหนีออกมาตอนที่น้ำเริ่มพัดเข้ามาในโรงแรมแต่ออกมาไม่ทันเลยถูกน้ำพัดลงหายไปในทะเลส่วนสุดท้ายคือคนที่ผมเห็นในครัวนั้นคือพนักงานรอบดึกที่มาแอบนอนใน Canteen แล้วหนีไม่ทันตอนสึนามิมา


ผมได้ฟังแล้วก็พูดไม่ออกเพราะทุกอย่างที่พี่เดชเล่ามาทุกคนในเรื่องนี้ผมเจอมาทั้งหมดภายในคืนเดียว เรื่องยังไม่จบแค่นั้นครับอยู่ๆ พี่เดชก็พูดขึ้นมาว่ามึงอยากเห็นมั้ยล่ะว่าที่กูพูดจริงมั้ยเอาจริงๆ ตอนนั้นผมเหมือนคนบ้านิดๆ คือออกแนวว่าไหนๆ กูก็เจอมาขนาดนี้แล้วก็เอาแม่งให้สุดเลยดีกว่าผมเลยบอกแกไปว่าได้พี่เอาไงเอากันพี่เดชเลยบอกว่างั้นมึงห้องครัวกับกูเลยตอนนี้ผมกับพี่เดชก็เดินทางไปห้องครัวกันพอไปถึงสภาพแสงไฟสลัวๆ ยังคงเหมือนเดิม เราสองคนยืนแอบมุมอยู่แล้วพี่เดชก็บอกว่ามึงลองมองไปทางตู้เย็นแล้วคอยดูนะผมก็ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแม้จะกลัวอยู่ก็ทำตามที่แกบอก แล้วสิ่งที่ผมเห็นทำเอาผมแทบล้มทั้งยืนอีกครั้ง ผมเห็นผู้ชายใส่ชุด Chef กำลังเปิดตู้เย็นอย่างช้าๆ แล้วหยิบอาหารออกมาเหมือนจะกำลังเตรียมทำอะไรสักอย่าง ก่อนจะเดินไปหยิบถาดมาเตรียมใส่วัตถุดิบซึ่งนั่นคือเสียงที่ผมได้ยินลักษณะท่าทางของเขาดูเหมือนคนปกติและค่อยๆ เตรียมการไปอย่างช้าๆ ถึงตอนนี้ผมทนไม่ไหวเลยหลบเข้ามาและบอกพี่เดชว่าพี่ผมไม่ไหวแล้วหว่ะ ไปเหอะก่อนจะรีบวิ่งมาจากตรงนั้นกลับไปที่ Office เลยครับ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าพี่เดชแกจะตามมามั้ย แล้วผมก็นั่งอยู่ใน Office จนเช้าโดยไม่ได้พูดไม่ได้บอกกับใครพอถึงเวลาออกกะก็รีบลงมาเตรียมตัวกลับบ้าน


ในระหว่างทางที่เดินไปที่ Locker ช่วงประมาณ 6 โมงเช้าพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดีมีแสงอาทิตย์สลัวๆ ผมเดินสวนกับผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุด Chef ลักษณะท่าทางเหมือนกับคนที่ผมเห็นเมื่อคืนที่ห้องครัวท่าทางเหมือนกำลังเพิ่งออกกะดึกมาตอนนั้นผมเริ่ม งงๆ เพราะถ้าแกเป็น Chef ก็ไม่น่าจะเข้ากะกลางคืนนี่นาเพราะพี่เดชแกเข้าอยู่ แม้จะไม่แน่ใจว่าใช่คนๆ เดียวกันไหมเพราะตอนนั้นผมก็เห็นไม่ชัดแต่ผมคิดว่าน่าจะใช้คนๆ เดียวกัน อาการขนหัวลุกของผมเริ่มกลับมาอีกครั้งผมเลยรีบเดินผ่านมาอย่างไวจนมาหยุดที่หน้าห้อง HR ผมเห็นประกาศในบอร์ดอันหนึ่งผมเดินเข้าไปดูอย่างช้าๆ แล้วก็แทบล้มทั้งยืนเพราะในประกาศเขียนใจความสรุปว่าขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของคุณเดชและหากพนักงานท่านใดต้องการร่วมทำบุญในงานศพของคุณเดชสามารถบริจาคได้ที่บัญชี...” พนักงานที่มายืนดูป้ายกลุ่มหนึ่งพูดกันว่าสงสารพี่เดชนะแกขับรถของแกอยู่ดีๆ ไอ้รถเก๋งคันนั้นดันเมาแล้วมาชนแกซะอย่างนั้น สงสารแกจริงๆพร้อมกับเสียงอีกคนที่ถามขึ้นมามึงแล้วพี่เดชแกไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะอีกคนก็ตอบกลับไปแกไปตั้งแต่เมื่อคืนช่วงค่ำๆ ที่แกจะมาเข้างานนั่นแหละ


ผมอึ้งจนพูดไม่ออกและยังคิดไปอยู่ว่านี่ผมฝันไปหรือเปล่าเพราะเมื่อคืนพี่เดชแกอยู่กับผมและเรายังคุยกันอยู่เลยตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเพราะเจอเหตุการณ์ช๊อคครั้งที่สามผมเลยวิ่งออกมาจากโรงแรมทั้งชุด Uniform กลับหอพักแบบไม่คิดชีวิต ในขณะที่วิ่งมาได้ครึ่งทางผมเหลือบไปเห็นไทยมุงกลุ่มหนึ่ง พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังยืนมุงดูอะไรกันอยู่สักอย่างด้วยความอยากรู้อยากเห็นแม้จะช๊อคแต่ด้วยนิสัยขี้เสือกของผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปดู


ผมค่อยๆ เดินเข้าไปในวงอย่างช้าๆ โดยที่ไม่มีใครว่าอะไรเหมือนผมไม่มีตัวตน ผมอยากรู้ว่าเค้ามุงอะไรกันและทันทีที่ผมเห็นสิ่งที่เขามุงกันอยู่นั้นมันคือศพของชายคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าใส่ชุดพนักงานโรงแรมสักพักเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเริ่มที่จะเก็บกู้ศพจึงค่อยๆ พลิกศพจากนอนคว่ำให้เป็นท่านอนหงายซึ่งขณะนั้นมีเสียงซุบซิบกันของฝูงชนผมจับใจความได้ว่าน่าสงสารน้องเค้าจริงๆ โจรสมัยนี้ก็อำมหิตจังมือถือเครื่องเดียวถึงกับฆ่าแกงกันได้ ใจร้ายจริงๆผมเลยน่าจะสันนิษฐานได้ว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์กัน พอกู้ภัยเริ่มจับศพพลิกท่านอนหงายปรากฎว่าเมื่อหงายหน้ามาผมจึงรู้ว่าศพนั้นมันคือตัวผมเองและที่ไปทำงานมาเมื่อคืนนี้มันคือคนสองคนที่มีจุดจบเดียวกันคือผมและพี่เดชนั่นเอง 


ยังไงก็เตรียมตัวกันไว้นะครับ ผมและพี่เดชอาจจะไปร่วมงานกับคุณที่ไหนสักแห่งในโลกใบนี้ก็ได้ หึหึหึ




เรืองเล่าก่อนนอน Part III

เรืองเล่าก่อนนอน Part III

ออกจากพี่เดชมา ผมก็ตรงมาที่ Office แล้วก็จัดการเคลียร์งานที่ต่อรอบกับเพื่อนรอบบ่ายไว้ว่ามีอะไรบ้างแล้วก็ปกติของชาวรอบดึกนั่นแหละครับที่เสียงเพลงคืออีกหนึ่งเพื่อนร่วมงานชั้นดีที่เราคุ้นเคย ระหว่างทำงานผมก็เปิดเพลงในมือถือไป นั่งอ่าน Log Book ไป ไล่ไปจนหมด สักพักผมก็มานั่งเล่นเน็ตซึ่งก็อีกกิจกรรมยามว่างของรอบดึกที่เรารู้กันนะครับ 


ผมท่องโลกออนไลน์ไปเรื่อยๆ แล้วมีแว้บนึงที่ผมเข้า youtube แล้วมีภาพของเหตุการณ์สึนามิที่เพิ่งผ่านไปซึ่งมีคนนำมาลง ด้วยความที่บาดแผลในจิตใจของผมก็ยังมีอยู่กับช่วงเวลานั้นผมเลยอดใจไม่ได้ที่จะเข้าไปดูซึ่งคลิปที่ผมเข้าไปดูทำให้ผมนั้นทำให้ผมรู้สึกตกใจ เศร้าและหดหู่อย่างมากครับ มันเป็นภาพของคลื่นที่ซัดผู้คนหายจมไปกับท้องทะเล มีภาพของเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าหาสิ่งปลูกสร้างริมชายหาดจนราบเป็นหน้ากลอง แม้ในยุคนั้นคุณภาพของ VDO จะไม่ได้ดีคมชัดระดับ 4K เหมือนปัจจุบันแต่คนที่เคยมีอดีตกับเรื่องนี้ต่อให้มีแค่เสียงมันก็รับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นครับ


ผมนั่งดูคลิปไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆ เพลงที่ผมเปิดฟังในมือถือมันก็หยุดลงโดยที่ผมยังไม่ได้ไปทำอะไรกับมันเลยครับ แต่ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรก็กะว่ามันคงเป็นที่ระบบมือถือแน่ๆ แต่พอหยิบมาดูปรากฎว่าตัวเล่นเพลงของผมมันเหมือนักบถูกกฎ Pause เอาไว้เหมือนเวลาเราฟังเพลงแล้วมีคนมาคุยด้วยแล้วเรากดหยุดชั่วคราวนั่นแหละครับ ช่วงจังหวะที่ผมนิ่งไปหัวมันมีแว้บไปคิดถึงเรื่องที่พี่เดชบอกว่ามึงอย่าลงมาที่ครัวตอนตี 3 นะด้วยความสงสัยแบบเอาจริงๆ ก็มีคิดนิดๆ ว่าหรือว่าในครัวจะมี...” แต่ก็ยังชั่งใจอยู่ว่าจะเชื่อเรื่องแบบนี้ดีไหม? มีความคิดอกุศลอีกอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาว่าหรือพี่เดชแกจะแอบมาขโมยของออกไปตอนนั้นเลยห้ามเราไปคิดมั่วซั่วไปหมดครับตอนนั้น แต่ส่วนตัวผมตัดสินจแล้วว่าเดี๋ยวกูจะลงไปดูตอนตี 3” เพราะขัดใจว่าจะห้ามอะไรกันนักกันหนาวะแล้วผมก็นั่งรอเวลาใน Office ต่อไป แต่ในขณะที่ผมกำลังยืนกดมือถือและพิงผนังอยู่ปรากฎว่าอยู่ๆไฟในห้องก็ดับลงดื้อๆ เลยครับผมตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น พอตั้งสติได้ผมค่อยๆ หันหลังไปคลำสวิตช์ไฟปรากฎว่า............ “ตอนผมพิงผนังหลังผมมันไปโดนสวิตช์ไฟเข้าไฟเลยดับ” Ok เรื่องนี้ผ่านไปแบบตกใจนิดๆ


ผมรอเวลาจนถึงช่วงตี 3 ช่วงที่พี่เดชแกสั่งห้ามนักห้ามหนาว่าอย่าลงมาแต่ผมตั้งใจแล้วว่ากูจะไปแล้วก็จัดการเอาวิทยุสื่อสาร (.) มาด้วยเผื่อ Front รอบดึกติดต่อมากรณีแขกสั่งอาหาร ผมค่อยๆ เดินมาตามทางที่มาห้องครัวบรรยากาศตอนนั้นถึงแม้มันจะมีแสงสว่างแต่ด้วยความที่ระหว่างทางมันต้องหลายห้อง หลายประตู มันเลยดูวังเวงๆ นิดๆ เพื่อเอาจริงๆ ก็มีแอบคิดว่าจะมีใครเปิดประตูมาไหมวะแต่ห้องต่างๆ ที่ว่ามานั้นเทียบแล้วบรรยากาศยังไม่น่าวังเวลเท่ากับการที่ผมต้องเดินผ่าน Staff Canteen ซึ่งเป็นห้องกระจกแล้วลองนึภาพว่าในห้องกระจกมีโต๊ะเก้าอี้นั่งทานข้าวเยอะๆ ไฟมืดๆ และโดยสัญชาตญาณคนเรามันก็อดมองไปไม่ได้จริงๆ ครับมีแว้บนึงผมมองเข้าไปมันรู้สึกวังเวงๆ เหมือนกันผมเลยหยุดมองและหันหน้ากลับมาแต่เชื่อมั้ยครับสัญชาตญาณคนเราเวลามีคนมองมันจะรู้สึกครับปรากฎว่าในขณะที่ผมกำลังเดินผ่าน Staff Canteen นั้นผมรู้สึกเหมือนมีคนกำลังมองตามผมอยู่ สักพักขนผมลุกโดยไม่รู้ตัวครับ ซึ่งเป็นอาการที่ผมเข้าใจเลยว่าเวลาที่คนเค้าพูดกันว่าขนหัวลุกมันเป็นยังไงแต่ผมก็ไม่ได้สนใจก็เดินไปที่ครัวต่อ


จนไปถึงหน้าห้องครัว สภาพตอนนั้นคือมีไฟเปิดอยู่บางดวงให้แสงสว่างสลัวๆ อุปกรณ์เครื่องครัวถูกจัดวางตามปกติแสงไฟที่มีอยู่ตอนนั้นทำให้บางส่วนของห้องส่องสว่างแต่บางส่วนของห้องก็มืดสลัวๆ ผมพยายามมองหาพี่เดชเพราะอย่างที่บอกตอนแรกว่าผมกะจะมาแกล้งแกว่าแกแอบมานอนหรือเปล่าแต่พยายามมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอพี่เดช สายตาผมเริ่มสอดส่ายมองเข้าไปในห้องครัวอย่างละเอียดมากขึ้นทีละส่วนทีละส่วนก็ไม่มีอะไร ผมยืนดูแบบนั้นอยู่เกือบ 10 นาทีก็ไม่มีเจอพี่เดชและไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นครับ เลยตั้งใจว่ากลับดีกว่าไม่เห็นมีอะไรเลยแล้วตั้งใจว่าจะเดินไปหาพี่เดชที่ Office 


ตอนที่ผมหันหลังกลับมันมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นครับคืออยู่ๆ ผมได้ยินเสียงของอุปกรณ์กระทบกันประมาณว่าถ้ามาจากครัวก็เป็นลักษณะของภาชนะเครื่องครัวกระทบกันครับแต่มันเป็นเสียงช่วงสั้นๆ ไม่ดังมากเท่าไหร่เป็นเสียงแก้งๆสองครั้ง พอผมได้ยินตอนนั้นผมก็นึกไปว่าพี่เดชแอบมาหาอะไรกินแน่ๆผมเลยหันกลับไปมองอีกทีปรากฎว่ามันไม่มีใครในห้องครัวเลยครับผมก็ งง อยู่เหมือนกันเพราะมั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินนั้นผมได้ยินมันจริงๆคราวนี้เริ่มเอะใจแต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไรผมก็เดินออกจากครัวต่อไปยัง Office พี่เดช 


ผมเดินมาถึงช่วงหัวมุมหนึ่งมันต้องผ่านห้องของ GM ก่อน ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะโดยปกติแล้วพนักงานอย่างเราๆ ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปในส่วน Executive Office แบบนี้หรอกครับเพราะถ้าโดนเรียกก็มีสองอย่างแหละคือทำดีจนเรียกไปชม กับ ทำตรงกันข้ามแล้วเรียกไปตำหนิผมก็เลยเดินผ่านไป


แต่จังหวะที่กำลังหันหน้ามาเพื่อจะเดินต่อ สายตาของผมเหลือบไปเห็นแบบผ่านๆ ว่าผู้ชายคนหนึ่งครับกำลังเปิดประตูเข้าไปใน Office ของ GM คือแม้จะเป็นการเห็นแบบหางตาในจังหวะที่จะหันหน้าแต่ผมก็มั่นใจว่าผมเห็นคนกำลังเปิดประตูเข้าไปจริงๆ คือโรงแรมผม GM แกจะ In House อยู่ในโรงแรมผมก็เลยคิดไปว่าแกลืมของอะไรหรือนึกอะไรได้ตอนดึกหรือเปล่าเลยลงมาเอาแต่ตอนนั้นมันก็ตี 3 แล้วแกทำไมแกไม่รอให้มันเช้าก่อนนะ คือคิดไปอย่างก็มีความย้อนแย้งอีกอย่างเข้ามา ผมเลยตัดสินใจหันกลับมามองแบบเต็มตัวเพื่อให้รู้ว่าใครนะที่เข้าไป? ความรู้สึกที่ผมเห็นผู้ชายคนนั้นคือเหมือนเค้าเป็นคนต่างชาติไม่ใช่คนไทยกำลังเปิดประตูเข้าไปแต่ตอนผมหันหน้ามานั้นปรากฎว่าประตูมันปิดอยู่ครับไม่ได้มีเสียงประตูเพิ่งปิดจากการที่เพิ่งมีคนเปิดเข้าไปเลยและลักษณะก็ปกติดี ผมชักเริ่มไม่แน่ใจว่าที่ผมเห็นนั้นมันจริงหรือเปล่าผมเลยตัดสินใจเดินไปที่ประตูห้อง GM แล้วกะว่าจะลองเปิดเข้าไปเลยกะว่าถ้าเจอใครก็ไม่เป็นไรเพราะเราเป็นพนักงานการดูแลความปลอดภัยของสถานที่ก็เป็นอีกอย่างที่เราทำได้ไม่ผิด 


แต่ ตอนนั้นมีอีกสิ่งหนึ่งที่สงสัยอยู่เหมือนกันเพราะจากความรู้สึกผมที่เห็นเป็นลักษณะของชาวต่างชาติที่เข้าไปซึ่งถ้าจะเป็น GM ตามที่ผมสันนิษฐานนั้น GM แกของผมเป็นคนไทยแต่ที่ผมเห็นเข้าไปในห้องน่าจะเป็นชาวต่างชาติแล้วมันจะเป็น GM ไปได้ยังไงที่เข้าไปในห้องนั้น??


เดินมาถึงหน้าห้องผมจัดการจับลูกบิดประตูแล้วเปิดเข้าไปปรากฎว่า...ลูกบิดมันล็อค...เข้าไม่ได้ครับ ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้กลัวและก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะมันน่าจะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วว่าบางครั้ง GM มีธุระมีความลับอะไรเวลาเข้าห้องไปแล้วมีการล็อคบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติแต่ที่ผมสงสัยคือแล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่ามันมีคนเข้าไปในห้องนั้นจริงหรือเปล่าในระหว่างที่เริ่ม งงๆ นั้น ผมก็เลยคิดว่าเดี๋ยวจะไปหาพี่เดชจะลองไปเล่าให้แกฟังซะหน่อยกะว่าเดี๋ยวจะชวนกันมาดู ส่วนอีกข้อสันนิษฐานคือ “Room Boy” เข้าไปทำความสะอาดหรือเปล่า? แต่อันนี้ก็ไม่น่าจะใช่เพราะส่วนใหญ่ที่รู้กันเขาจะมาทำช่วงเช้ามืดเป็นหลัก คิดแบบนั้นแล้วผมก็หันหลังกลับมาแล้วเดินไปตามทางที่จะไป Office พี่เดชต่อกะว่าจะไปคุยเรื่องนี้ด้วย


ผมเดินมาเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องผ่านส่วนของ Staff Canteen อีกครั้งครับ ซึ่งครั้งแรกที่ผ่านอย่างที่บอกว่าผมมีอาการขนลุกไปทั้งตัวแบบไม่ทราบสาเหตุรอบนี้ในระหว่างที่ผมเดินผ่านมันไม่ได้มีอาการนี้ครับเพียงแต่รอบนี้ผมเลือกที่จะไม่มองเข้าไปในห้องแล้วเดินผ่านไปเฉยๆ ระหว่างที่เดินผ่านไปได้ครึ่งห้องจนถึงผ่านประตูทางเข้า Canteen และกำลังจะเดินผ่านไป อยู่ๆ ผมได้ยินเสียงพูดตามหลังมาเบาๆ แบบไม่แน่ใจว่าหูฝาดหรือเปล่าเสียงแผ่วเบา แหบแห้งนั้นพูดว่าหิว”.....


โปรดติดตามตอนต่อไป...




เรื่องเล่านิยายก่อนนอน Part II

เรื่องเล่านิยายก่อนนอน Part II

ผมเริ่มต้นกลับเข้าไปทำงานใหม่ในตำแหน่ง Room Service ครับซึ่งหลังจากที่สถานการณ์โรงแรมกลับมาดำเนินการได้ตามปกติช่วง High Season อย่างที่เราชาวโรงแรมรู้กันครับว่าเป็นช่วงเวลาทำเงินของพี่น้องโรงแรมทุกคน ตั้งแต่เจ้าของโรงแรมยันพนักงานโรงแรมรวมถึงธุรกิจท้องถิ่นต่างๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตารอช่วงเวลานี้กันอยู่แล้วแต่ในปีนี้มันเป็นปีที่พิเศษหน่อยเพราะหลายคนบอบช้ำมาจากวิกฤตสึนามิที่พึ่งผ่านไป ดังนั้นกลยุทธ์การขายหรืออะไรต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนเป็นเงินได้จะถูกนำออกมาใช้กันในช่วงนาทีทองแบบนี้


สำหรับเนื้องานของผมนั้นคงไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนะครับเพราะหลายคนน่าจะรู้อยู่แล้วเกี่ยวกับความรับผิดชอบของหน้าที่แต่สิ่งที่ผมจะเล่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างทำงานซึ่งผมไม่เคยลืมมันเลยจนถึงทุกวันนี้ครับ


ต้องบอกก่อนว่าแผนกของผมจะมีเพื่อนร่วมตำแหน่งอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 คนสลับหมุนเวียนกะกันไปตามนโยบายประหยัดแรงงานตอนนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าจำนวนพนักงาน Room Service เท่านี้มันมากไปหรือน้อยไปไหมแต่ถ้าจะพูดกันถึงเนื้องานบางทีเราก็รู้สึกยุ่งกันมากจริงๆ จนแทบไม่มีเวลาได้พัก ได้กินข้าวกันเลยแต่บางช่วงก็แทบไม่ค่อยมีงานกันเลยนั่งตบยุงตายกันเป็นกอง จะว่าไปส่วนตัวผมก็รู้สึกปกตินะครับเพราะมันก็มีคนปฎิบัติงานอำนวยความสะดวกให้แขกทุกรอบ ส่วนใหญ่ช่วงเช้าแขกมักจะไม่ค่อยสั่ง Room Service เท่าไหร่ต่อให้มี ABF on request ไปบนห้องก็ไม่เยอะซึ่งส่วนใหญ่ Waiter หรือ Waitress ก็จะจัดการตรงนี้ได้ถือว่าช่วยกันไปเพราะนโยบายเค้าไม่ต้องการให้มีพนักงานมากเพื่อ Service Charge เวลามาแบ่งกันมันจะได้จำนวนเยอะหน่อย ส่วนใหญ่งานของผมจะไปเยอะอยู่ที่รอบบ่ายกับรอบดึกเป็นหลักครับ


ปกติแล้วผมจะทำงานรอบบ่ายเป็นหลักสลับกับเพื่อนอีกคนหนึ่งแต่เวลาวันหยุดวันลาเราก็ตกลงกันเองไม่ค่อยมีปัญหาด้วยความที่คนมันน้อยครับและจากการเป็น Room Service มันเลยทำให้เราค่อนข้างที่จะต้องทำงานใกล้ชิดกับแผนกครัวซึ่งจากการที่ผมต้องทำงานช่วงบ่ายค่อนข้างบ่อยทำผมได้รู้จักกับพี่เดชซึ่งเป็น Chef ที่จะเข้ากะบ่ายเป็นส่วนใหญ่เหมือนกับผมและบางครั้งก็มีบ้างที่แกต้องเข้ากะดึกเวลาลูกน้องแกหยุดหรือคนไม่พอเพราะโรงแรมผมนั้น Room Service เป็นแบบ 24 ชั่วโมงเอาจริงๆ ช่วงกลางคืนผมก็เคยได้ Order บ้างหลักๆ ก็ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ที่มีบอลเตะนั่นแหละครับส่วนวันอื่นๆ แม้จะไม่ได้เยอะเท่าไหร่ ส่วนงานของ Chef รอบดึกจะไม่ค่อยเยอะแต่จะหนักไปทางการที่ต้องเตรียมอาหารในไลน์ Buffet ต่อเช้ามากกว่า


พี่เดชแกเป็นคนพื้นที่ซึ่งทำงานมาตั้งแต่รุ่นบุกเบิกโรงแรมและด้วยความที่แกเป็นคนที่อยู่มาตั้งแต่แรกพี่เดชแกก็จะเห็นความเป็นไปของโรงแรมตั้งแต่ก่อสร้างเรื่อยมาจนถึงวันที่เกิดเหตุการณ์น่าสลดช่วงสึนามิซึ่งตอนนั้นพี่เดชเองแกก็เป็นอีกคนที่โชคดีไม่ได้ไปทำงานเพราะเป็นวันหยุดของแกแตกต่างจากเพื่อนของแกอีกคนที่เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งพี่เดชบอกว่าในความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมันมีห้วงหนึ่งลึกๆ ในใจแกเหมือนกันที่แกคิดไปว่าเพื่อนแกต้องมาจากไปเพราะแกแต่ชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไปพี่เดชแกก็ต้องพยายามปรับสภาพจิตใจให้ลุกขึ้นสู้ต่อไปได้แต่กว่าจะผ่านมาได้ก็เรียกได้ว่าสาหัสอยู่เหมือนกัน 


เมื่อเราทำงานช่วงกลางโพล้เพล้ควบกลางคืนเป็นหลักในโรงแรมที่เพิ่งผ่านการสูญเสียจากผู้คนหลายชีวิตแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบกับอะไรที่เราหาคำตอบไม่ได้ครับ


วันนั้นผมจำได้ว่ามันเป็นวันแรกที่ผมต้องอยู่รอบดึกซึ่งจริงๆ มันต้องเป็นเพื่อนผมที่ต้องมาเข้ารอบแต่วันนั้นมันดันมีธุระเลยมาขอแลกกะกับผมซึ่งผมก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะวันพรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดผมพอดีอันนี้คนโรงแรมเราจะรู้กันเวลาที่คนไม่พอและต้องหาคนมาทำงานกะดึกแทนคนที่เข้าปกติแน่นอนว่าส่วนใหญ่หวยจะมาออกที่คนรอบบ่ายเป็นหลักครับและผมคือหนึ่งในนั้นที่ต้องมาเข้าดึกวันนี้


ผมมาเข้างานต่อรอบกับรอบบ่ายเรียบร้อยแล้วก็ลงไปที่ห้องครัวเพื่อจะไปเช็ค ABF Box ที่มีแขกสั่งไว้พรุ่งนี้ตอนตี 5 ไปถึงก็เจอพี่เดชซึ่งวันนี้แกก็มาทำงานรอบดึกเหมือนกันเราทั้งสองคนก็ทักทายกันผมก็พูดหยอกแกไปว่าพี่ๆ คืนนี้ขอกระเพราทะเลรอบดึกหน่อยนะหิวพี่เดชแกก็ตอบมาติดตลกว่าไม่เอา..เดี๋ยวกูโดน Warning ไอ้ห่าผมหัวเราะและไม่ได้ว่าอะไรแกก็แนวหยอกๆ กัน คุยกันสักพักพี่เดชก็พูดขึ้นมาว่าเดี๋ยวช่วง ตี 3 พี่ไม่อยู่ครัวนะอยู่ Office มีอะไรตามพี่ที่นั่นนะผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรกับประโยคนี้แต่ประโยคต่อไปต่างหากที่ทำผมเริ่มสงสัยเพราะพี่เดชบอกว่าแล้วมึงไม่ต้องลงมาในครัวช่วงนั้นนะถ้าจะคุยกับพี่ไปหาที่ห้องผมก็ งง แลดูแกจริงจังมากว่าห้ามลงมาช่วงเวลานั้นแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะวันนี้อยู่ดึกวันแรกตั้งแต่กลับมาทำงาน พอผมหันหลังจะเดินกลับแกก็ยังตะโกนย้ำมาอีกว่ามึงเข้าใจที่กูพูดมั้ยเนี่ยผมก็ตอบแกไปแบบ งงๆ นอยๆ หน่อยเออพี่ เข้าใจแล้วน่าแล้วก็เดินจากไปแต่ตอนนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมสงสัยและตั้งใจว่าเดี๋ยวจะลงมาตอนตี 3 เพราะผมคิดว่าแกจะมาแอบนอนเลยกะว่าเดี๋ยวจะลงมาแกล้งแกซะหน่อย ความคิดนี้แหละครับที่ถ้าย้อนเวลาไปได้ผมจะเชื่อแกเป็นอย่างดีเพราะสิ่งที่ผมจะเจอต่อไปนี้มันเกินบรรยายจริงๆ ครับ


โปรดติดตามตอนต่อไป....




เรื่องหลอนก่อนนอน (EP. 1)

เรื่องหลอนก่อนนอน EP.1

ผมทำงานอยู่ในโรงแรมชายทะเลแห่งหนึ่งในภาคใต้ของประเทศไทยครับ โรงแรมนี้มีทำเลดีมากเพราะอยู่ติดหาดเลยครับ เรียกได้ว่าแขกที่พักที่นี่สามารถใช้บรรยากาศชายหาดได้ทุกเวลาในการหาความสุขเพื่อดื่มด่ำให้ชีวิต ช่วงเช้าแขกหลายคนจะตื่นมาวิ่งออกกำลังกายหรือเดินเล่นรับไอทะเล ช่วงบ่ายหลายคนก็ลงไปเล่นน้ำ บางคนก็ทำกิจกรรมริมชายหาด ขี่ม้าบ้าง เล่นกีฬาทางน้ำบ้าง ปะปนกันไปครับ ส่วนพนักงานอย่างเราๆ บางครั้งมันก็มีครับที่จะเดินไปชาร์จพลังที่ริมชายหาดโดยการยืนให้ลมไอเย็นของทะเลกระทบหน้าด้วยเพราะเจอเรื่องราวที่หนักหนาสาหัสกันมาในแต่ละวันพอได้ไอเย็นจากธรรมชาติมาบำบัดมันก็ช่วยให้ดีขึ้นได้ไม่ยากครับ กิจกรรมของโรงแรมทั้งแขกและพนักงานก็ดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งเมื่อปลายปี 2547 หายนะก็มาเยือนโรงแรมทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างของที่นี่พังทลายลงตั้งแต่ตัวโรงแรมไปจนถึงชีวิตของพนักงานและแขกจำนวนหนึ่งที่ต้องสูญเสียไปกับวิกฤตในครั้งนั้น 


ผมคงไม่ได้เล่าเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่คลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่าซัดเข้ามาสร้างความเสียหายให้กับโรงแรมอย่างบ้าคลั่งและไม่ได้สนใจความเป็นไปของชีวิตมนุษย์ว่าจะอยู่หรือตาย ภาพหนึ่งที่ติดตาอยู่ไม่ขาดคือภาพของชายคนหนึ่งที่ลอยคออยู่ในทะเลเพื่อรอความช่วยเหลือแล้วอยู่ๆ ก็มีสังกะสีที่ไหนไม่รู้ถูกคลื่นซัดมากระทบกับร่างของชายคนนั้นก่อนจมหายไปในท้องทะเลมันเป็นอะไรที่เลวร้ายมากสำหรับผม


แน่นอนว่าหลังจากที่ความพิโรธของท้องทะเลได้จบลง ภาพของความเสียหายของโรงแรมไม่มีอะไรที่จะสามารถมาบรรยายได้ ความสวยงามก่อนหน้านั้นบัดนี้มันได้กลายเป็นซากปรักหักพังจนไม่เหลือเค้าของความสวยงามหรูหราเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป แต่นั่นคือเรื่องของสิ่งของต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายแต่ในส่วนของผู้คนในสถานการณ์ที่มีความเป็นความตายเป็นเดิมพัน สัญชาติญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์เริ่มปะทุขึ้นอย่างรุนแรง เริ่มมีการพยายามหาน้ำและอาหารเพื่อนำมาประทังชีวิตให้กับคนเองและคนในครอบครัว มีการฉกฉวยผลประโยชน์จากผู้ที่พอจะมีกำลังในการจัดหาอาหารและเครื่องดื่มมาได้ด้วยการขายในราคาที่เกินจะรับได้ เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ขายให้ซองละ 100 บาทหรือน้ำเปล่าขวดละ 200 บาท ใครที่พอจะมีเงินติดเนื้อติดตัวก็ได้สิทธินี้ไปใครที่ไม่มีก็ต้องหาวิธีเอาตัวรอดประทังชีวิตเอาเองกว่าที่หน่วยงานรัฐจะเข้ามาช่วยเหลือคนเหล่านี้ก็สร้างผลตอบแทนไปได้มากอยู่


กระบวนการเก็บกู้ศพผู้เสียชีวิตและสำรวจผู้รอดชีวิตดำเนินไปอย่างเร่งรีบและละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้สามารถนำร่างผู้เสียชีวิตออกมาระบุอัตลักษณ์ตัวตนเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนทางกฏหมายและติดต่อญาติทั้งในและต่างประเทศให้มาดำเนินการต่อได้เร็วที่สุดส่วนผู้บาดเจ็บก็จะได้รับการช่วยเหลือและดูแลรักษาให้ได้ทันท่วงทีทุกอย่างต้องแข่งกับเวลาตลอดทั้งวันทั้งคืน ในส่วนโรงแรมของผมเองก็เช่นกันที่เริ่มมีการสำรวจความเสียหายและทำการเก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิตพร้อมกับค้นหาผู้บาดเจ็บ การค้นหาดำเนินไปอย่างเร่งรีบและละเอียดรอบคอบซากปรักหักพังชิ้นใหญ่ๆ ที่เจ้าหน้าที่วิเคราะห์แล้วว่าอยู่นอกบริเวณที่ไม่เสี่ยงต่อการอาจไปกระทบกับผู้ที่อาจจะถูกทับอยู่ใต้ซากปรักหักพังเหล่านั้นค่อยๆ ถูกเคลื่อนย้ายออกไป การทำงานเป็นไปอย่างระมัดระวังเจ้าหน้าที่พบผู้บาดเจ็บที่ยังรอดชีวิตในซากปรักหักพังของโรงแรมหลายคนในสภาพอิดโรยรวมถึงพบศพผู้เสียชีวิตด้วยเช่นกันสร้างความสลดใจให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมากเพราะไม่ได้มีแค่แขกเท่านั้นที่เสียชีวิตแต่ร่างไร้วิญญาณของพนักงานที่เคราะห์ร้ายไม่สามารถหนีได้ทันก็ถูกนำออกมาด้วยเช่นกัน ที่น่าสลดและเสียใจคือบางคนยังใส่ชุด Uniform ของพนักงานอยู่เลยครับ ในส่วนของกระบวนการจัดการกับสภาพของโรงแรมนั้นดำเนินการมาเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลา 1 เดือนและเมื่อปรับพื้นที่ของแรมเสร็จแล้วคราวนี้จึงมาถึงขั้นตอนของการปรับปรุงโรงแรมให้กลับมาดำเนินการได้อีกครั้งซึ่งทางเจ้าของและฝ่ายบริหารคาดการณ์ว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 4-5 เดือนน่าจะเสร็จ เมื่อได้ข้อสรุปแล้วขั้นตอนการปรับปรุงก็ดำเนินการไปตามระยะเวลาที่กำหนด


หลังจาก 1 ปีผ่านไปสภาพแวดล้อมด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบหลายๆ อย่างเริ่มได้รับการฟื้นฟูจากการทำงานที่รวดเร็วของภาครัฐและประชาชนรวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทำให้สถานการณ์ค่อยๆ กลับมาดีขึ้น เริ่มมีการวางระบบรักษาความปลอดภัยในการแจ้งเตือนคลื่นยักษ์สึนามิเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว หลายอย่างกลับมาอยู่ในสภาพเดิมรวมทั้งตัวโรงแรมของผมด้วยที่บัดนี้มันได้รับการ Renovation จนกลับมาสู่สภาพใหม่ที่ไฉไลกว่าเดิม เริ่มมีการเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าพักได้และเริ่มรับพนักงานกลับเข้าไปทำงานได้เหมือนเดิม แน่นอนว่ามีพนักงานเก่าหลายคนได้โอกาสกลับมาทำงานที่นี่อีกครั้งพร้อมกับพนักงานใหม่ที่รับเพิ่มเข้ามาแทนพนักงานเดิมและเป็นที่น่าเศร้าใจที่พนักงานบางคนนั้นไม่มีโอกาสกลับมาทำงานหรือใช้ชีวิตได้อีกแล้วเป็นความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขาเหล่านั้นและเป็นความสูญที่ยิ่งใหญ่ด้านบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถของโรงแรมด้วยเช่นกัน ผมขอไว้อาลัยให้กับทุกดวงวิญญาณของชาวโรงแรมที่ล่วงลับจากเหตุการสึนามิ ในครั้งนั้นด้วยจิตคาราวะและเคารพรักทุกท่านครับ


แต่เมื่อมีผู้เสียชีวิตโดยไม่ทันได้ตั้งตัวเกิดขึ้น ที่ใดเรื่องราวลี้ลับมันก็ย่อมเกิดตามมาด้วยเช่นกันเหมือนกับเรื่องที่ผมจะเล่าต่อจากนี้


โปรดติดตามตอนต่อไป




วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2564

HOTELOGIX - PMS All in one

“Move to New Normal” - Campaign เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการโรงแรมในการพลิกฟื้นธุรกิจและเตรียมตัวให้พร้อมในการก้าวเข้าสู่ยุค New Normal จาก HOTELOGIX.






ใครที่กำลังมองหาระบบ PMS ที่ทำงานได้ในลักษณะ All in One ราคาไม่แพงมาก ใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุก Device วันนี้เฮียมีระบบหนึ่งมาแนะนำเชิญพบกับ HOTELOGIX : Smart Hoteliering โดยความร่วมมือกับ GENEX ผู้ให้บริการ Cloud PMS ชั้นนำ คุณสมบัติหลักของ HOTELOGIX คือตัวระบบมี Function การใช้งานครอบคลุมทั้งส่วนงาน Operation และ Back Office ซึ่งจะประกอบด้วย

1. ระบบการบริหารจัดการส่วนงาน Front Office

2. ระบบบริหารจัดการส่วนงาน Housekeeping

3. ระบบบริหารจัดการ ณ จุดขายหรือ POS (Point of Sales)

4. ระบบบริหารจัดการส่วนงาน Accounting Management ตรวจสอบรายรับ-รายจ่ายและข้อมูลทางการเงิน

5. ระบบบริหารจัดการ Channel Manager เชื่อมต่อโรงแรมกับช่องทางการขาย Online ต่างๆ พร้อมการบริหารจัดการ Room Allotment และ Revenue Management ที่มีประสิทธิภาพ

6. มี Report ในส่วนงานต่างๆ เพื่อให้ทางโรงแรมสามารถนำไปเป็นข้อมูลในการบริหารจัดการโรงแรมทั้งด้านการขาย การตลาด และการปรับปรุงคุณภาพการบริการอย่างครบถ้วน

และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ระบบ HOTELOGIX โดดเด่นสอดคล้องกับ Trend New Normal ของนักท่องเที่ยวในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 ซึ่งจะทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไปนั่นคือระบบ “Online Check in” ที่จะช่วยลดการสัมผัสและสร้างความมั่นใจด้านสุขอนามัยให้กับนักท่องเที่ยวที่เข้าพักกับโรงแรม

สำหรับในส่วนของผู้ใช้งานซึ่งก็คือพนักงานโรงแรมอย่างเราๆ นะครับ ตัวระบบ HOTELOGIX ถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับยุค Digital โดยผู้ใช้งานของโรงแรมสามารถ Log In เข้าใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา ผ่าน Device ต่างๆ ได้โดยเฉพาะในโทรศัพท์มือถือทำให้สามารถควบคุมและปรับเปลี่ยนการใช้งานและข้อมูลต่างๆ ได้แบบ Real Time ทันต่อสถานการณ์

พิเศษ!!! สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วม Campaign "Move to New Normal" กับทาง HOTELOGIX รับสิทธิประโยชน์สุด Exclusives เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยเฉพาะซึ่งประกอบด้วย

- รับสิทธิในการชำระค่าบำรุงรักษาระบบเพียง 10% จากราคาปกติ
- อัตราค่าใช้จ่ายในการใช้งานระบบชำระตามอัตรา Occupancy ที่แขกเข้าพักจริง
- บริการศูนย์ช่วยเหลือผู้ใช้งานผ่านช่องทาง Online ตลอด 7 วัน 24 ชม.
- ไม่ต้องทำสัญญาการใช้งานและไม่มีข้อผูกมัดด้านการใช้งาน

สนใจดูข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจได้ที่
หรือโทร +66 080 993 4815
E-mail info@genex-solutions.com

บทความแนะนำ