วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Upskill การโรงแรมสู่ Wellness Industry อุตสาหกรรมในอนาคต

 Upskill การโรงแรมสู่ Wellness Industry อุตสาหกรรมในอนาคต



เชื่อว่าพนักงานโรงแรม นักศึกษาการโรงแรมและบุคคลากรสายงานด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยวในขณะนี้น่าจะกำลังมีคำถามในใจว่า “จะเอาอย่างไรกับหน้าที่การงานของตัวเองดี?” ด้วยความที่ปัจจุบันนี้ไม่น่าจะมีใครที่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่า “ธุรกิจการโรงแรมและการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวเมื่อไหร่?” และแม้จะมีวัคซีนออกมาแล้วมันก็ไม่น่าจเป็นคำตอบสุดท้ายของคำถามนี้

ผู้เชี่ยวชาญและนักวิเคราะห์บางรายมีการคาดการณ์ไปว่าอาจจะเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีช่วงเดือนตุลาคม 2563 ซึ่งเป็นช่วง High Season ของปีนี้แต่บางรายก็คาดการณ์ไปไกลกว่านั้นว่าน่าจะฟั้นตัวช่วงไตรมาส 3 หรือไตรมาส 4 ของปีหน้า 2564 ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่เรายังคงต้องรอคอยคำตอบกันต่อไปแต่ในฐานะของคนธรรมดาคนหนึ่งที่มีภาระค่าใช้จ่ายต้องเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวความไม่ชัดเจนด้านอาชีพ ณ ขณะนี้อาจทำให้เราจำเป็นที่จะต้องมองหาทางออกอื่นสำรองไว้เป็นทางเลือกเพื่อความอยู่รอดเพราะในสถานการณ์นี้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากพอๆ กัน

คำถามต่อมาคือในเมื่อเราทำงานด้านการโรงแรมแล้วเราจะสามารถหาโอกาสในสายงานอาชีพอื่นอะไรได้บ้าง? หนึ่งในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตและเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายในระดับนโยบายระดับชาติของประเทศไทยที่น่าสนใจและสามารถปรับเพิ่ม (Upskill) จากงานโรงแรมเพื่อไปหาโอกาสในอุตสาหกรรมนั้นได้นั่นคืออาชีพในอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพหรือ Wellness Industry มีการคาดการณ์กันว่าหาก COVID-19 คลี่คลายด้วยชื่อเสียงด้านมาตรฐานสาธารณสุขของประเทศไทยทั้งบุคคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในระดับโลก อัตราค่ารักษาพยาบาลที่ถูก อุปนิสัยที่มีความเป็นมิตรของคนไทย อาหารการกินที่หลากหลายและที่สำคัญการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยที่มีคุณภาพติดอันดับต้นๆ ของโลกจะทำให้ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศเป้าหมายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในแบบ Medical Tourism และ Wellness Tourism และนี่คือโอกาสด้านอาชีพที่พนักงานโรงแรมสามารถนำไปเป็นแนวทางในการปรับตัวเพื่อ Upskill ได้

1. Fitness – Personal Trainer โดยปกติแล้วงานโรงแรมจะมีฝ่าย Fitness อยู่ในบางโรงแรมการที่จะปรับตัวให้เข้าสู่อุตสาหกรรม Wellness เราสามารถ Upskill ตัวเองได้โดยการเข้าอบรมเป็นผู้ฝึกสอนส่วนตัว (Personal Trainer) เพื่อออกแบบ Class ออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเพศและวัยซึ่งสามารถทำงานได้ทั้งใน Wellness Hotel/Resort, Nursing Home, Day Care. และยังสามารถทำเป็น Freelance หรือธุรกิจส่วนตัวสอดรับกับ Trend ของผู้บริโภคในความต้องการการมีรูปร่างและสุขภาพที่ดีได้สำหรับสถาบันที่เปิดสอนหลักสูตรการเป็น Personal Trainer และสามารถออกใบประกาศนียบัตรรับรองได้ เช่น Planforfit, Fitthai. เป็นต้น



2. ครูสอน YOGA เมื่อพูดถึงภาพความเป็น Wellness Resort โยคะคืออีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นภาพจำของผู้คนทั่วไปเมื่อนึกถึงการเข้าพักในสถานที่ที่เป็น Wellness Resort การเป็นครูสอนโยคะจะทำให้เราสามารถออกแบบ Class สอนโยคะในแบบกลุ่มย่อยหรือกลุ่มใหญ่ที่มีรูปแบบการปฏิบัติสอดคล้องกับผู้เข้าร่วมแต่ละเพศและวัยต่างๆ นอกจากจะทำงานในสาย Wellness ได้แล้วการเป็นครูสอน YOGA ยังสามารถทำให้เราประกอบธุรกิจส่วนตัวในรูปแบบ Freelance ได้ด้วยเช่นกันทั้งการเป็นผู้ฝึกสอนส่วนตัวหรือรับสอนตามสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่การมี Club สำหรับฝึกโยคะเป็นของตนเองก็ตามสำหรับการเป็นครูสอนโยคะสามารถเริ่มตันได้จากการเข้ารับการฝึกอบรมตามสถานบันที่มีการเปิดสอน เช่น โรงเรียนบางกอกโยคะ ที่มีหลักสูตรการสอนเป็นครูโยคะที่จะทำให้ผู้สำเร็จการศึกษาสามารถนำความรู้ไปออกแบบโปรแกรมโยคะเพื่อประกอบอาชีพได้



3. นักโภชนาการ เป็นอีกหนึ่งสายอาชีพที่สำคัญใน Wellness Industry การเป็นนักโภชนาการจะเกี่ยวข้องกับการออกแบบอาหารและเครื่องดื่มที่เหมาะสมกับเพศและวัยรวมทั้งการแปลงคำสั่งของแพทย์มาเป็นค่าพลังงานอาหารที่ผู้ป่วยควรจะได้รับในกรณีที่ต้องดูแลผู้ป่วยพักฟื้นการเป็นนักโภชนาการยังสามารถเพิ่มโอกาสในการประกอบธุรกิจส่วนตัวได้ด้วยเช่นกัน เช่น การออกแบบคอร์สอาหารลดน้ำหนัก เมนูอาหารเพื่อล้างพิษในร่างกาย (Detox) โดยทั่วไปใน Wellness Resort เราจะได้เห็นการ Program ด้านอาหารและเครื่องดื่มที่มาพร้อมกับการเข้าพักในลักษณะของ “มื้ออาหารเพื่อสุขภาพที่เน้นการ Detox” ล้างสารพิษในร่างกายอันเป็นอีกหนึ่งจุดขายในความเป็น Wellness Resort ปัจจุบันการเป็นนักโภชนาการสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่การเรียนในระดับอุดมศึกษาและในบุคคลทั่วไปมีสถานบันที่สอนด้านการโภชนาการอยู่ เช่น คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ฝ่ายโภชนาการ เป็นต้น



4. การบริบาลและผู้ดูแลผู้สูงอายุ สายอาชีพแห่งอนาคตสอดรับกับการก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยซึ่งมีการคาดการณ์ว่าในปี 2564 ประเทศไทยจะมีประชากรที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไปร้อยละ 16 ของประชากรทั้งหมด (อนันต์ อนันตกูล ภาคีสมาชิก สำนักธรรมศาสตร์และการเมือง ราชบัณฑิตยสภา) ซึ่งผู้สูงอายุในปัจจุบันมีกำลังซื้อสูงรวมทั้งบุตรหลานที่มีกำลังจ่ายสูงเพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่ดีเช่นกันการเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุจะสามารถทำงานใน Nursing Home, Day Care, Wellness Center, หรือการทำงานแบบ Freelance รับดูแลผู้สูงอายุนอกสถานที่ได้เช่นกันแต่การจะเข้าสู่สายอาชีพนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบตั้งแต่ขั้นตอนของการศึกษาพื้นฐานด้านกายวิภาคศาสตร์ การดูแลสุขภาพอนามัยของร่างกาย การดูแลผู้ป่วยกรณีต่างๆ เช่น ป่วยติดเตียง มีแผลกดทับ ผู้ป่วยที่ต้องได้รับออกซิเจน เป็นต้น สำหรับในประเทศไทยมีการสอนหลักสูตรนี้อยู่ตัวอย่างเช่น Bangkok Intercare School หรือ มหาวิทยาลัยฟาร์อีสเทิร์น (FEU: Wellness Training Center) เป็นต้น



5. ล่ามแปลภาษา เป็นสายอาชีพที่เริ่มต้นได้ง่ายที่สุดในการก้าวจากพนักงานโรงแรมสู่อุตสาหกรรม Wellness การเป็นล่ามแปลภาษาเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะจะอยู่ในขั้นตอนของ Communication ระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้บริการกล่าวคือเป็นตัวกลางในการแปลงความต้องการให้ได้รับในสิ่งที่ต้องการได้ตรงจุดที่สุดถ้าจะมองภาพความสำคัญของล่ามแปลภาษาเราสามารถศึกษาได้จากกรณีของความนิยมของชาวต่างชาติในการเดินทางเข้ามารักษาพยาบาลในประเทศไทย (Medical Tourism) และต้องอยู่พักฟื้นข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยและ www.bltbangkok.com/news/4367/ ระบุว่าในปี 2018 มีชาวต่างชาติที่นิยมเดินทางมารักษาพยาบาลและพักฟื้นใน รพ.เอกชนของไทยประกอบด้วย กลุ่มประเทศ Middle East 12.5% เมียนมาร์ 8.7% อเมริกา 6.2% สหราชอาณาจักร 5% ญี่ปุ่น 4.9% และกัมพูชา 2.2% และมีแนวโน้มว่านักท่องเที่ยวจีนกลุ่มผู้ที่มีภาวะมีบุตรยากและกลุ่มที่เน้นความงามจะเพิ่มปริมาณการเข้ามาใช้งานมากขึ้นด้วยในอนาคตจะเห็นได้ว่าแต่ละประเทศมีภาษาที่แตกต่างกันไม่ได้จำกัดเฉพาะภาษาสากลอย่างภาษาอังกฤษจากตัวอย่างจะเห็นว่า ภาษาอาหรับ/อารบิก ภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน หรือแม้แต่ภาษาเพื่อนบ้านใกล้ตัวเราอย่าง ภาษาเมียนมาร์ ภาษากัมพูชา ถือเป็นกลุ่มภาษาที่สามารถสร้างโอกาสในสายงาน Medical Tourism และ Wellness Tourism ให้เราได้เช่นกัน



6. Perfumer - นักปรุงน้ำหอม สายอาชีพนี้ค่อนข้างจะเป็นสายอาชีพเฉพาะกลุ่มแต่หากพูดถึงความสอดคล้องกับอุตสาหกรรม Wellness การเป็น Perfumer สามารถทำให้เราออกแบบกลิ่นต่างๆ ที่ใช้ในส่วนของ SPA และช่วยเพิ่มมูลค่าของการใช้บริการ SPA ได้และหากกลิ่นที่เราออกแบบมีลักษณะเฉพาะตัวเป็นที่ชื่นชอบในระดับ Mass Market ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้เราสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้ด้วยเช่นกันบางคนสามารถผลิตน้ำหอมกลิ่นที่เป็นเอกลัษณะของตัวเองขายได้ในประเทศฝรั่งเศสมีการเรียนการสอนหลักสูตร Perfumer กันอย่างเป็นระบบตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นไปจนถึงขั้นเป็น Professional Perfumer มีสถาบันสอนทำน้ำหอมที่มีชื่อเสียงอย่าง GIP - Grasse Institute of Perfumery ที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติหรือแม้แต่สถาบัน Givaudan : International Flavors & Fragrances ของสวิสแลนด์ก็เป็นอีกแห่งที่มีชื่อเสียงด้วยเช่นกันสำหรับประเทศไทยเรานั้นก็มีสถาบันสอนการปรุงน้ำหอมด้วยเช่นกันอย่าง Artisan Valley และ Perfumer Academy Thailand นอกจากนี้ยังมีการจัดเป็น Workshop ย่อยให้ผู้ที่มีความสนใจแต่ยังไม่สะดวกเรียนแบบจริงจัง เช่น Workshop : Scent Designer (https://readthecloud.co/scent-designer-workshop/) นักออกแบบกลิ่นให้น้ำหอมและสินค้าที่จัดโดย The Cloud และ KBANKLIVE



ทั้งหมดที่รวบรวมมานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในโอกาสในสายงาน Wellness Industry ที่พนักงานโรงแรมสามารถปรับตัวเข้ารับโอกาสนี้ได้ก่อนหน้านี้มีการพูดถึงการทำงานในลักษณะ Multi Skill กันมาบ้างแล้วประเภทการทำงานในโรงแรมที่ต้องทำงานได้หลากหลาย เช่น ในแผนก Front Office ต้องสามารถทำงานได้ทั้ง G.S.A, G.R.O, Bell Boy, Operator หรือแม้แต่การทำงานข้ามแผนก เช่น เป็น Front Office แต่สามารถทำงานแผนก Housekeeping ได้แต่ในอนาคต Multi Skill นี้อาจจะไม่เพียงจากการแข่งขันด้านทักษะแรงงานที่สูงขึ้นรวมทั้งความไม่แน่นอนด้านอาชีพจากการเปลี่ยนแปลงที่เร็วขึ้นของอุตสาหกรรมต่างๆ จึงจำเป็นที่เราจะต้องเป็น Multi Skill แบบ “Cross Industry” ข้ามอุตสาหกรรมไปเลยจะทำให้มีแต้มต่อในด้านอาชีพและทางเลือกมากกว่าซึ่งนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของทักษะในอนาคตของลูกจ้างจำเป็นที่ต้องศึกษาและหาทางรับมือในที่สุด

N. Kamolpollapat – Hotel Man
21 August 2020 : 12.28 PM

บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง
- https://www.facebook.com/Hotelman879/videos/683267862582589
- https://www.facebook.com/Hotelman879/photos/a.481873871840611/3669190946442205/
- https://www.facebook.com/Hotelman879/photos/a.481873871840611/3650909208270379

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2563

 มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับการปรับตัวที่น่าชื่นชมของสถานศึกษาการโรงแรม


วันนี้เฮียมีโอกาสได้คุยกับท่านอาจารย์ท่านหนึ่งจากมหาวิทยาลัยหนึ่งที่อุบลราชธานีอาจารย์มาปรึกษาว่า “คุณป๊อบถ้าจะเปลี่ยนชื่อหลักสูตรแบบนี้น่าสนใจไหมคะ?” บอกตามตรงตอนที่ได้ยินว่าจะปรับหลักสูตรเฮียดีใจมากเลยนะครับ (อันนี้ส่วนตัวนะ) เพราะส่วนตัวอย่างที่เฮียเคย Post ไปก่อนหน้านี้เฮียคิดว่า ณ ขณะนี้ที่อุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยวกำลังแย่อยู่มันได้รับผลกระทบไปทุกภาคส่วนซึ่งสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวกับการโรงแรมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นการมีทักษะเดียวในอนาคตอาจจะไม่เพียงพออีกต่อไปภาพของสาขาการโรงแรมในมุมของผู้ปกครองที่จะส่งบุตรหลานมาเรียนก็คงจะมีคำถามเยอะว่า “จะมีโอกาสในอาชีพมากน้อยแค่ไหน?” ถ้าไม่นับก่อนหน้านั้นที่การโรงแรมและการท่องเที่ยวเฟื่องฟูมากจึงเกิดการเรียนการสอนสาขานี้ขึ้นในหลายมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยที่เป็นการโรงแรมโดยเฉพาะที่แม้จะมีให้เลือกหลากหลายสาขาและจบมาทำได้หลากหลายทั้งงานโรงแรม เรือสำราญ อากาศยาน บริษัทนำเที่ยว แต่ด้วยความที่ทั้งหมดอยู่ในอุตสาหกรรมกรรมหลักคือการท่องเที่ยวตอนนี้เลยล้มกันไปเป็น Domino ที่มาพร้อมกับคำถามตัวโตว่า “สาขาการโรงแรมจะยังมีเด็กเข้ามาเรียนต่อหรือไม่?”
อาจารย์แนะนำชื่อหลักสูตรมาหลักสูตรหนึ่งซึ่งเฮียเห็นว่ามันยังคงยึดติดกับโรงแรมมากเกินไปเฮียเลยให้ความเห็นอาจารย์ไปว่า...จริงๆ แล้วถ้ายังใช้ชื่อนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเอาเสียเลยเพราะยังไงคนก็ไม่หยุดท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรมแค่รอวันที่จะกลับมาอีกครั้งเท่านั้นแต่ถ้าจะหวังผลในระยะใกล้นี้โดยวัดจากประสิทธิผลคือจำนวนเด็กที่เข้ามาเรียนมันน่าจะยังไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่ด้วยปัจจัยด้านภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวที่มีผลต่อผู้ปกครองซึ่งเป็นคนจ่ายค่าเทอมการจะปรับหลักสูตรมีสิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติมเข้าไปคือการพัฒนาให้เด็กได้ Multi Skill แบบบ Cross Industry คือเป็นทักษะแบบ “ข้ามอุตสาหกรรมไปเลย” แต่ยังคงอยู่ในอุตสาหกรรมบริการมันต้องเป็นอะไรที่ไม่ใช่แค่ Multi Skill แบบเดิมที่เราคุ้นเคยกันประเภท ทำ F/O แล้วมาทำ F&B ได้ มาทำ Sales ได้หรือทำงานใน Sector เดียวกันได้หมดทั้ง Operator, G.S.A, RSVN แต่อนาคตมันต้องเป็นการทำอะไรที่ได้มากกว่า
ซึ่งตัวนี้เฮียก็ให้คำแนะนำอาจารย์ไปว่า “เฮียยังมองว่า Wellness Industry” เป็นอีกหนึ่งทางออกที่น่าสนใจของน้องๆ นักศึกษา เราลองนึกภาพว่าธุรกิจบริการที่เน้นเรื่อง “การบริการดูแลเอาใจใส่แขกผู้เข้าพัก” สามารถปรับไปทำธุรกิจ “Wellness Industry ได้ไม่ยาก” เช่น การปรับเพิ่มจากการดูแลแขกมาเป็นการดูและผู้สูงอายุสอดรับกับ Trend ที่พักแบบ Day Care และ Nursing Home สำหรับผู้สูงอายุที่ไทยกำลังก้าวเข้าสู่ Aging Society การปรับเพิ่มทักษะ F&B มาเป็นหลักสูตรโภชนาการเพื่อความเป็น Wellness Food หรือแต่แต่ทักษะของ Sport & Recreation ที่ปรับมาเป็นการออกแบบ Course สอนโยคะหรือฟิตเนสที่เหมาะกับแต่ละช่วงอายุ
นึกภาพอีกอย่างว่าถ้าวันหนึ่งสาขาการโรงแรมที่เฮียแนะนำอาจารย์ว่าอาจจะปรับเป็นชื่อ “Hospitality & Wellness Management” มันเกิดขึ้นมาจริงๆ น้องๆ ที่เรียนจบได้ทักษะไป 2 อย่างทั้งทักษะที่สามารถทำงานในโรงแรมได้กับทักษะที่สามารถทำงานใน Wellness Center, Wellness Hotel/Resort ได้ นั่นหมายความว่า “ทางเลือกในอาชีพของน้องๆ จะมีมากกว่า 1 ทาง” ซึ่ง Multi Choice เป็นอีกอย่างที่จำเป็นสำหรับโลกในอนาคตเพราะบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องมองโอกาสในชีวิตเพียงโอกาสเดียวแต่ควรเตรียมตัวให้พร้อมกับโอกาสอื่นๆ ที่อาจเข้ามาเคสนี้จะตอบคำถามผู้ปกครองได้ว่า “จบสาขานี้มาถ้าธุรกิจโรงแรมไม่ดีแล้วจะไปทำธุรกิจอะไร?” เพราะ Hotel กับ Wellness ถ้าธุรกิจหนึ่งมีปัญหาอีกธุรกิจสามารถทำแทนกันได้ประเทศไทยเรามีจุดแข็งมากมายด้านการรักษาพยาบาล อาหารการกิน ฯลฯ เอื้อต่อการเติบโตของ Wellness
และถ้าจะให้ Advance มากไปกว่านั้นซึ่งเฮียคิดว่าน่าจะเพิ่มมูลค่าให้สาขา Hospitality & Wellness Management ได้ดียิ่งขึ้นคือการบรรจุหลักสูตร “การบริบาล” เข้าไปด้วยเพราะหากน้องๆ เรียนจบเท่ากับว่าน้องจะมี Double Degree ทั้ง ปริญญาตรี และ ประกาศนียบัตรรับรองด้านการบริบาล (ซึ่งในทางปฏิบัติจำเป็นต้องร่วมมือกับภาควิชาชีพด้านการพยาบาล) เพิ่มโอกาสในสาย Wellness ได้อีกซึ่งที่เฮียค่อนข้างให้น้ำหนักและสนับสนุนอุตสาหกรรม Wellness เพราะก่อนหน้านี้เคยพูดถึง “โอกาส” ของธุรกิจนี้ในระดับมหภาคไปแล้วตามกระทู้นี้ https://www.facebook.com/Hotelman879/photos/a.481873871840611/3650909208270379/
เฮียเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าวิกฤตนี้ทำให้หลายๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการโรงแรมต้องปรับตัวสถานศึกษาเองโดยปกติก็กำลังเสี่ยงที่จะถูก Disruption จาก Platform การเรียนรู้ออนไลน์อื่นๆ ทั้งฟรีและเสียเงินในเวลาอันใกล้นี้กอปรกับปัจจุบันเด็กๆ สามารถหาความรู้ได้อย่างอิสระในโลกออนไลน์ดังนั้นทางหนึ่งของสถานศึกษาที่จะต้องปรับตัวคือ “ทำให้เด็กเห็นว่าการมาเรียนในสถาบันแตกต่างจากการหาความรู้ได้ด้วยตนเอง”
บทสนทนาของเฮียกับอาจารย์ท่านนี้เป็นแค่เบื้องต้นที่เราคุยและปรึกษากันทั้งนี้ในระบบการศึกษาไทยการจะปรับหลักสูตรคงมีขั้นตอนและการวางแผนอีกมากแต่ถ้าสถานศึกษาการโรงแรมต่างๆยังไม่ปรับตัวตอนนี้เฮียก็ยังไม่เห็นทางออกของปัญหาที่เด็กที่เลือกเรียนการโรงแรมจะน้อยลงไปเรื่อยๆ จนกว่าสถานการณ์โรงแรมจะกลับมาซึ่ง ณ ตอนนั้นยังมีอีกหลายเรื่องราวที่ท้าทาย เช่น เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมโรงแรมที่ยังไม่มีการพูดถึงมากนักไม่จำเป็นว่าต้องเป็น Wellness แต่การเพิ่มทักษะอื่นๆ เข้าไป เช่น Digital Marketing, Storytelling, ฯลฯ ที่จะมาเป็นตัวเลือกให้เด็กเพิ่มเติมว่าถ้าไม่ทำงานโรงแรมก็สามารถทำงานสายอื่นๆ ได้มากกว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน “โลกหมุนเร็วสิ่งที่สำคัญที่เราตัองปรับตัวให้เร็วตามโลก”
หากบทสนทนาของเฮียกับอาจารย์ท่านนี้ตกผลึกและมหาวิทยาลัยเลือกซื้อ Idea นี้เพื่อนำไปต่อยอดเชื่อว่าถ้าเริ่มปรับตัวในตอนนี้น่าจะเป็นต้นทุนในการเป็นผู้นำในการปรับหลักสูตรการโรงแรมในมิติใหม่ในอนาคตของมหาวิทยาลัยนี้ครับและหากทำสำเร็จภาพการเป็นผู้นำหลักสูตรจะพุ่งตรงมาที่มหาวิทยาลัยนี้อย่างแน่นอนและจะยิ่งเห็นภาพชัดเจนขึ้นเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติเช่นเดิม
อย่างน้อยเฮียก็ดีใจที่ได้มีโอกาสแนะนำแนวทางให้สถาบันการศึกษาในการปรับหลักสูตรการโรงแรมไปสู่รูปแบบใหม่เพื่อประโยชน์ของสถาบันการศึกษาเองและประโยชน์ของเด็กและขอบคุณท่านอาจารย์ทุกท่านของมหาวิทยาลัยนี้ที่มองเห็นความสำคัญในการต้องปรับตัวเพื่อประโยชน์ของน้องๆ นักศึกษาทุกคนครับขอบคุณอาจารย์ที่คิดถึงเฮียและให้เกียรติติดต่อมาขอคำแนะนำครับ
N. Kamolpollapat

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2563

Package สุดพิเศษจาก BAANLAIMAI PHUKET

 วันนี้เฮียมี campaign สุดพิเศษจาก

Baan Laimai Beach Resort & Spa



ที่เรียกได้ว่า Win ทุกฝ่ายคุ้มทุกสิ่งตั้งแต่นักท่องเที่ยวไปจนถึงผู้ที่กำลังหารายได้เสริมเตรียมตัวต้อนรับการกลับมาอีกครั้งหลัง COVID-19 ของจังหวัดภูเก็ตหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลกที่วันนี้ธรรมชาติต่างๆ พร้อมแล้วกับการไปเยือนในแบบที่ไม่เคยเห็นหาดทราย สายลมและแสงแดด แบบนี้มาก่อน

1 สำหรับนักท่องเที่ยวพบกับราคาสุดคุ้มลดแบบถ่มทลายกับ Promotion >> 7 Days Flash Sale พิเศษ!!! สำหรับคนไทย 🇹🇭 และชาวต่างชาติที่อยู่ไทย (Domestic Promotion) จองตรงกับโรงแรมรับทันทีสิทธิประโยชน์ ฟรีเลทเช็คเอ้า ถึงบ่าย 3 โมง สำหรับทุก Booking ที่สำคัญโรงแรมเข้าร่วมโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ของทางภาครัฐด้วยนะครับใครที่ลงทะเบียนแล้วสามารถรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการอุดหนุนจากทางรัฐบาลได้ด้วยนะเรียกว่าได้แบบ 2 ต่อทั้งราคาพิเศษและสิทธิประโยชน์จากทางภาครัฐ
ราคาห้องพัก Green Season (01 สิงหาคม - 31 ตุลาคม 2020)
- ห้องพักเข้าร่วมโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน"
- Superior (ไม่มีวิว) รวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน - 1,100 บาท/คืน
- Deluxe Garden View รวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน - 1,300 บาท/คืน
- Deluxe Beach Front รวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน - 1,900 บาท/ตืน
กดลิงค์เพื่อจอง:>>> https://bit.ly/33dhb9A <<<
High Season (01 พฤษจิกายน - 23 ธันวาคม 2020)
- ห้องพักไม่อยู่ในโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน"
- Superior (ไม่มีวิว) รวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน - 1,400 บาท/คืน
-Deluxe Garden View รวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน - 1,700 บาท/คืน
- Deluxe Pool View รวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน - 2,000 บาท/คืน
- Deluxe Beach Front รวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน - 2,500 บาท/คืน
- Deluxe Pool Access รวมอาหารเช้า สำหรับ 2 ท่าน - 3,300 บาท/คืน
กดลิงค์เพื่อจอง:>>> https://bit.ly/2DkCrPW <<<
*เตียงเสริมได้เฉพาะห้อง Superior, Deluxe Pool View และ Deluxe Pool Access เพียงคืนละ 600 บาท ต่อคน รวมอาหารเช้า
** #ราคานี้จองแล้วไม่สามารถคืนเงินได้ แต่สามารถเลื่อนวันเข้าพักได้ #ฟรี ก่อนวันเช็คอิน อย่างน้อย 2 วัน
จองห้องพักได้ที่
Tel: +66 76 342 620-3
Email: reservation@baanlaimai.com :
Facebook.com/baanlaimaibeachresort
--------------------------------------------------------------------------------------
2. ต่อที่ 2 สำหรับผู้ที่กำลังหารายได้เสริมในช่วงนี้ทาง
Baan Laimai Beach Resort & Spa
จะมอบสิทธิประโยชน์ค่า Commission ให้มากถึง 5% ด้วยนะครับเป็นอีกช่องทางในการหารายได้เสริม “ไม่เลือกงานไม่ยากจน” สำหรับผู้แนะนำลูกค้าให้กับทางโรงแรมเมื่อลูกค้าจองและชำระเงินเรียบร้อยแล้วรอรับค่า Commission 5% จากยอดห้องพักที่ลูกค้าชำระรับได้เลยครับสามารถติดต่อรายละเอียดเกี่ยวกับการรับ Commission ได้โดยตรงที่คุณธีรวัฒน์ตามรายละเอียดด้านล่างเท่านั้น
Line ID: teerawatjuta หรือ Email: teerawatj@baanlaimai.com

บทความแนะนำ