วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

Wake Up Call

วันนี้จะมาเล่าเรื่อง มารูน5 (Wake up call)

ในช่วงกลางดึกวันหนึ่งขณะที่เฮียกำลังมาเข้างานรอบดึกพร้อมกับน้อง G.S.A อีกคนและตอนนี้เราทั้งสองกำลังต่อรอบกับรอบบ่ายอยู่ ซึ่งก่อนเข้างานเฮียก็มั่นหน้าแล้วว่ากูไหว้ศาลหน้าโรงแรมมาเต็มที่คืนนี้ต้องไม่มีเคสจำพวกน้อง Join ไม่ได้ค่าตัวแล้วตามไปไกล่เกลี่ย หรือเคสแขกแม่งอินกับ Thai Fight แล้วไปบวกกับแท็กซี่หน้าโรงแรมเสร็จแล้ววิ่งเข้ามาให้ช่วยเป็นแน่แท้ ว่าแล้วก็ต่อรอบไปคุยรับงานกันไปและก็เหลือกตาไปเห็นห้องเหลืออีก 3 ห้องที่ยังไม่มาจริง ๆ ถ้าเป็น No Deposit เนี่ยก็จะ 6PM Release ไปและ (น้องใหม่ งงดิ งง งงเลย 6 PM อะไรวะกูรู้จักแต่ 2 PM นิชคุณอ่ะ ก็ลองไปถามพี่ๆ Reservation ดูละกันขี้เกียจอธิบาย) แต่นี่เค้าจ่ายเงินมาแล้ว 2 ห้องเป็นสัมปทานของพี่ด้าเค้าส่วนอีกห้องก็จองผ่าน TARs มา Full Pre-Paid (อ่ะ งงอีกดิ TARs แปลว่าไร ก็ไปถามพี่ Reservation เค้าอีกนะ แต่คราวนี้ระวังมันรำคาญตบให้นะ 555) ประมาณ 5 ทุ่มฝ่า ๆ ไอ้สองห้องแรกก็มาเช็คอินท์ส่วนอีกห้องมาไล่ ๆ กันประมาณ 5 ทุ่มครึ่งนะ ไอ้สองห้องแรกเนี่ยไม่เป็นไร แต่ไอ้ห้องหลังเนี่ยพี่แก้สั่ง Wake up call ไว้ เป็นแขกจากเทือกเขาหิมาลัยมาคนเดียวแถมขับรถมาเองด้วยเก่งโคตร ๆ
พี่แกสั่ง WC (Wake Up call แปลให้ด้วยกลัวมือใหม่ไม่เข้าใจ) ไว้ตอนตี 5 เพราะมีไฟลท์ตอน 10 โมงเช้า เฮียก็รับมาแล้วก็จดบันทึกไว้พร้อมบอกน้อง G.S.A รอบดึกไว้อีกทีเผื่อลืมและก็ไม่วายเดินไปบอก Bell อีกคนตอนแรกก็กะว่าจะเดินบอกวนให้ครบสามรอบแล้วเอาผ้าแพรสามสีผูกเลยแต่เกรงใจ จากนั้นก็เอาเข้าห้อง Operator ไปให้เค้า Set up ปลุกในระบบจำได้ว่าตอนนั้นของโรงแรมเฮียใช้ NEC ระบบดีช่วยบอกต่อ (จริม ๆ นะ Oper เค้าบอกมา) จนเวลาผ่านไปถึงตี 5 ระบบโทรศัพท์มันก็ปลุกของมันโดยมันจะเป็นสัญญาณดังที่เครื่องโทรศัพท์แขกในห้องพอแขกรับก็ขึ้น Report ปกติว่าปลุกเสร็จเรียบร้อยแล้ว และเพื่อความรอบคอบน้อง Operator ก็โทรไปปลุกอีกรอบนึงแขกรับสายแล้วก็บอกว่า "I'm woke up, I'm Ok" หึหึหึ จำสองประโยคนี้ไว้นะ จนเวลาผ่านไปประมาณเกือบ 7 โมงซึ่งเฮียก็ต้องทำ Report เอาไว้ประทานให้พวก Management เค้าฟาดฟันกันใน Morning Brief ส่วน G.S.A ก็กำลังปิดรอบและต่อรอบเช้า Bell ก็ไปส่งหนังสือพิมพ์จนเสร็จ
เฮียก็ออกมาถามน้อง Bell ว่า "เฮ้ย แขกลงมายังวะ" และสัญญาความหายนะก็มาเยือนน้อง Bell มันบอกว่า "ยังเลยนะเฮีย เนี่ยรถก็จอดอยู่ผมส่งหนังสือพิมพ์ลงมายังไม่เห็นไปนะ" เอาละครับว่าแล้วเฮียก็คว้า Master Key card ไปเลยพร้อมเรียก รปภ.กับ Bell ไปด้วย ก่อนไปก็บอก Operator ให้โทรปลุกอีกที ไปถึงหน้าห้องก็เคาะประตูเลยครับ เคาะอยู่ 5 ครั้งไม่มีคนเปิดตัดสินใจตอนนั้นคือเปิดประตูเข้าไปเลยครับ ถ้าจะโดนแขกด่าก็ต้องโดนแล้วล่ะครับนาทีนั้น เพราะถ้าปล่อยไว้ไม่ปลุกสิ่งที่เสียมันไม่คุ้ม เปิดประตูเข้าไป แม่เจ้ายังนอนอยู่เลยครับไหนมึงบอกกูว่ามึงตื่นแล้วไง เฮียก็รีบปลุกขยับตัวอยู่สักพักจนแขกงัวเงียตื่นมาตกใจนิดว่ามีใครอยู่ในห้อง เฮียเลยรีบบอกว่า "You have a flight 10 AM" เท่านั้นแหละครับพี่แกหยิบนาฬิกาดูได้เสร็จปุ๊บก็กระโดดไปล้างหน้าแปลงฟันเลยครับแล้วรีบตามเฮียลงมาด้านล่าง ดีไม่เสียเวลาเคลียร์บิลเพราะจ่ายเงินมาแล้ว และสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อพี่แกหันมาบอกว่า "You not wake me up" แล้วก็โมโหหาว่าเราไม่ปลุก (นี่มึงจะตก Flight อยู่แล้วนะยังห่วงด่ากูอีก) เหมือนจะยืดเยื้อนะครับแต่ด้วยประสบการณ์เพราะเจอเคสแบบนี้มาเยอะแล้วแทนที่มันจะรีบไปเสือกจะมา complain กูอีกอ่ะมาดู "This is Wake up call report" โชว์รีพอร์ตที่เครือ่งโทรศัพท์ปรินท์ออกมาให้ดูว่าห้องทีปลุกแล้วจะมีคำว่า OK อยู่ด้านหลังส่วนห้องที่ปลุกไม่ได้หรือไม่มีคนรับสายก็จะไม่มี OK จากนั้นก็บอกอีกว่า "My staff also wake you up" แล้วก็โชว์ report ให้ดูว่าโทรปลุกตอนไหนแขกพูดว่าอะไร และดอกสุดท้าย "I'm also went to your room and wake you up" มาเอาไงต่อ พี่แกก็ทำหน้า งง ปนโมโห ๆ นิดๆ นะครับกะว่าจะเคลมแต่หลักฐานชัดเลยพี่แกเลยสะบัดตูดไปแล้วพร้อมเบิ้ลเครื่องดัง ๆ หน้าโรงแรมเป็นของแถม เฮ้ยสรุปว่ากูผิดอีกแล้ว





วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

ตอน Jet Ski ขี่พายุทะลุฟ้า



เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนผมเป็น Butler... จริง ๆ เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของผมหรอกนะครับเพราะแขกคนนี้น้องผมเป็น Butler แกแต่เผอิญว่ามันมีธุระต้องกลับบ้านเลยฝากแขกคนนี้ไว้ให้ผมดูแลต่อครับ หลังจากพาผมไปแนะนำตัวเสร็จเรียบร้อยก็มาเลยครับงานแรก "ํYou ช่วยหา Jet Ski ให้ชั้นหน่อยได้ไหม ชั้นอยากขับ Jet Ski จุงเบย" ผมก็ โอเคได้ไม่มีปัญหาครับ แล้วผมก็เข้า Office หาเบอร์ติดต่อของ jet Ski แล้วก็โทรจองเสร็จเรียบร้อยครับหลังจากนั้นก็แจ้งแขกเรียบร้อยแล้วก็บอกว่าเดี๋ยวสัก 10 นาทีเขาจะเอา jet Ski มาให้ตัวตัวเธอว์ แกก็โอเคเอาแล้วก็บอกว่า "เดี๋ยวชั้นไปเล่นน้ำรอหน้าหาดนะ" ผมก็ย้ำอีกครั้งว่า "ยู ไม่ต้องไปเรียก Jet Ski หน้าหาดแล้วนะเดี๋ยวเค้ามา ไอ จะลงไปบอก เพราะเดี๋ยวมันจะซ้ำกัน" หายไปประมาณ 10 นาทีก็ได้เวลาที่ Jet ski สองลำที่จองไว้มาส่งนะครับ ทีนี้ปัญหามันอยุ่ตรงนี้ครับ

ผมลงไปที่ชายหาดปรากฏว่าไม่เจอแขกครับ แต่นู้นครับ มองไปในท้องทุเลกว้างใหญ่ปรากฏร่างเงาของชายแก่วัยกลางคนผุ้หนึ่งกำลังควบ jet ski ลีลานี่กูนึกว่า พี่เจ มาเอง อย่างเมามัน มีอ้อมทุ่นว่ายน้ำด้วยสาดดด ทำอย่างกับชิงแชมป์ ปัญหาเกิดตรงนี้ครับ Jet ski สองลำที่จองไว้เขาก็มาแล้ว แล้วก็ไม่รู้อีท่าไหนแกถึงไปจัด Jet ski ชายหาดมาอีก คือสาเหตุที่ผมเรียก Jet Ski เจ้าที่มี contract กับโรงแรมเพราะเขามีประกันครับ กรณีแขกเกิดอุบัติเหตุ โรงแรมหรือเขาไม่ต้องรับผิดชอบเพราะประกันจะเป็นคนจัดการ ปลอดภัยทั้งแขก โรงแรม และเจ้าของ Jet Ski ทีนี้พอแกเห็นผมแกก็ขับเข้ามาชายฝั่งครับแล้วก็บอกว่า "You cancel ได้ไหม ไอ ได้ขับแล้วพอดีไอเห็นว่ามันอยู่ใกล้ๆ" ผมก็พูดไม่ออกครับ หนังหน้าไฟ ก็ต้องไปขอโทษขอโพยเจ้าที่เค้าขับมาแล้ว เป็นการใหญ่ แทบจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมากันเลยทีเดียว (มือเสี่ยงตายกายเสี่ยงตีนมากเลยกู) เคลียร์กันอยู่นานเขาก็อยากได้ค่าเสียเวลาค่าน้ำมันครับ ผมก็เลยไปลองต่อรองกับแขกดูก็ได้มา 500 บาท (โชคดีที่ยังได้อ่ะนะ) ทีนี้ปัญหาไม่จบครับเพราะไอ้เจ้าที่ให้ขับหน้าหาดเรียกแขกผมไปดู Jet Ski เลยครับ บอกว่ามีรอยชน และเรือนี้เป็นรุ่นใหม่ต้องชดใช้ 30000 บาท ....จากนั้นก็เริ่มเลยครับ มหกรรมโต้วาทีกันสุดฤทธิ์แขกก็บอกว่าเขาไม่ได้ทำ เจ้าของเจ็ทสกีก็บอกว่ามันแตกจริง ๆ และสุดท้ายก็เป็นพนักงานโรงแรมแบบผมครับที่ต้องทำหน้าที่กรรมการห้ามมวย ผมก็จัดการตามประสบการณ์ครับ ติดต่อตำรวจท่องเที่ยวก่อนเลยครับ เพราะตำรวจท่องเที่ยวจะเชื่อถือได้มากกว่า...(ไม่บอกนะรู้กันว่า...นี่คือใคร) เวลามาเขาจะมาพร้อมเอกสารเลยครับและคุยกันเลยว่า "เอ้า ตรงไหนเสีย ค่าเสียหายเท่าไหร่ ลดได้ไหม ราคาเกินไปหรือเปล่า และที่สำคัญสอบสวนความเป็นไปได้ว่ามันเกิดขึ้นได้ไหมกรณีนี้"

โชคดีที่พอบอกว่าขอติดต่อตำรวจท่องเที่ยว พี่แกรีบบอกเลยครับ "ไม่เป็นไรน้องถือว่าพี่ให้ละกัน พี่หากินแถวนี้" ... เอ่อ คือรู้ครับพี่แต่พี่ไม่อยากได้ค่าเคลมแล้วเหรอ 30000 เลยน้า (นึกเอานะ) ว่าแล้วผมก็รีบพาแขกกลับเข้าห้องก่อนเลยครับเดี๋ยวจะไปนอนคุยกับรากมะม่วงเอา

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

ว่าด้วยเรื่องของร่ม



1. ร่มไม่พอ สารภาพว่าตอนเป็น Front Office Manager เคยฟาดฟันใน Morning brief เพื่อของบซื้อร่มมาแทบจะเป็นมหากาพย์ชาดกกันเลยทีเดียวเนื่องจากอันเก่าที่มีอยู่รู้ว่าไม่พอแน่ เหลือกตาดู Occupancy แล้วร่มกรูไม่พอแน่ แต่ทำเยี่ยว เอ้ย เยี่ยงไรได้เมื่อฝ่าบริหารทีมิได้เจอหน้างานตกกลับมาว่า "เรายังไม่มีงบประมาณในตอนนี" เอวังด้วยประการละฉะนี้แล ทีทำได้ก็คงต้องให้ลูกน้องไปเปิดบัญชีตามแบงก์ต่าง ๆ เผื่อเขาจะใจดีแจกร่มมาไว้บ้าง พักโรงแรมชื่อนึง แต่เวลาเอาร่มให้แขกเป็นโลโก้แบงก์นึง แม่งโค-ตร เท่ห์อ่ะ เดี๋ยวนี้ตามโลตัส เซเว่นก็มีเก็บสแตมป์แลกแล้ว ก็ต้องคะยั้นคะยอลูกน้องให้ไปซื้อของเก็บสแตมป์ไปแลกกันเข้าไป

2. แขกเอาร่มไปแล้วไม่คืน มีเอกสารยืมเรียบร้อย เบอร์ห้องครบ ใบ Miscellaneous Charge แขกเซนต์ชื่อเรียบร้อย แต่พอร่มหาย "กูไม่จ่ายเว้ย" ทำไมต้องชาร์จ? ชาร์จทำไม? คือแบบอยากบอกว่า ร่มเนี่ยให้ยืมครับ เอาไปหาย เอาไปทิ้ง แล้วแขกคนข้างหลังทำไงอ่ะครับเพ่ เห็นใจกันบ้างซิเธอว์ ที่สำคัญเวลา Morning Brief กูก็จะโดนกินหัวเพราะร่มหายบ่อยมากกกกกกก

3. สลับห้องล่าล้างนรก แขกห้องนี้เอาไป แต่ตอนมาคืนแจ้งอีกห้องนึง ส่วนแขกอีกห้องนึงมาก็ให้คืนห้องของตัวเอง กลายเป็นซ้ำกันไปซะ ไม่รู้ว่าใครเอาใครไปซะงั้น ที่สำคัญตอนเช็คเอาท์ แม่บ้านหาร่มไม่เจอถามแขก เจ้แกบอกคืนไปแล้ววววว ชีวิตเศร้าก็ต้องงมกันไปว่ามันไปสิงอยู่ไหนไอ้ร่มคันนั้น

4. ร่มหัก สันนิษฐานว่าคงเอาไปรบราฆ่าฟันหรือบู้กันข้างนอกเป็นแน่แท้ มาถึงนี่ด้ามหัก ร่มขาด ที่สำคัญเวลาชาร์จ บอกไม่จ่ายเพราะ "ร่มของเธอมันก่าแล้วน๊ะ ชั้นไม่ได้ทำอะไรเลยมันหักเอง" เจริญพร ญาติโญม

5. ร่มหาย เคยเจอป่ะเอาไปแล้วกลับมาตัวเปล่าบอกร่มหาย ครั้นที่ชาร์ได้ก็โอเคไปไม่มีปัญหา แต่ไอ้ที่ชาร์จไม่ได้นี่ท่าทางจะลำบากหน่อย ต้องตั้งโต๊ะทำสำนวนสอบสวนกันเลยทีเดียวเชียว

วันจันทร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2558

เรื่องของ Welcome Fruits




มาๆ วันนี้มาจัดอันดับ Welcome Fruits ยอดนิยมสำหรับโรงแรมทั่วราชอาณาจักรกันบ้างว่ามันมีอุไรให้แขกกิน อันนี้ขอจากประสบการณ์นะ ส่วนใหญ่ Welcome Fruits เนี่ยเค้าก็จะมี Class ของเค้านะ เช่น Class A ใส่ผลไม้ไฮโซหน่อย เยอะหน่อย Class B ก็รองลงมาหรือ mention ไว้เลยว่าสำหรับแขก VIP หรือ Corporate หรือ Class C สำหรับแขกทั่วไป และ VIP Class ที่ออกแนวพิเศษนิดนึง อาจคัดเลือกผลไม้ที่แขกชอบตาม History แขกที่เคยมาพัก

1. แก้วมังกร นำโด่งมาเลยด้วยผลไม้ชนิดนี้ เข้าใจว่ามันเป็นผลไม้มงคลที่เมื่อก่อนลูกละเกือบร้อยแต่ตอนนี้ 3 ลูก 50 ก็หรูแล้วมั้ง จัดเป็นหนึ่งในผลไม้ยอดนิยมสุดยอดอมตะมหานิรันดรกาลที่จะต้องถูกใส่ไว้ในจาน Welcome Fruit, Apologize Fruits, Returning guest fruits, หรือ VIP Fruits. จะด้วยว่ามันถูก หาง่ายหรือกระไรก็ตามแต่มันก็เป็นที่นิยมสำหรับหลาย ๆ โรงแรม
ปล. แต่ต้องไม่ลืมว่าการให้แก้วมังกรโดยไม่ปอกนั้น แขกจะถามหามีดโดยอัตโนมัติถ้าจะกิน ซึ่งกฏโรงแรมว่าไว้ว่าห้ามให้ของมีคมกับแขกเด็ดขาด ที่เราๆ ท่าน ๆ จะต้องทำได้คือ "Offer เอาไปปอกให้เขาซะนะครับ"

2. กล้วย อันนี้ก็เข้าใจว่าเป็นผลไม้ไทยและหาง่าย ติดอย่างเดียวว่า "อย่าจับแรงจนมันช้ำนะเมิง" ช้ำปุ๊บ ดำปั๊บ แขกหยิบขึ้นมานี่นึกว่าผ่านการบีบคั้นมาแล้วหลายมือ ถึงกับกินไม่ลงกันเลยทีเดียว

3. องุ่น ส่วนจะองุ่นไร้เมล็กหรือมีเมล็ด ก็แล้วแต่ เวลาที่ยกไปเสิรฟท์ยอมรับมาเถอะพนักงานส่วนมากต้องมีเทสสักลูกสองลูกแหละ เผื่อมันเสียจะได้เปลี่ยนทันไง โดยเฉพาะ องุ่นแดงนอกลูกโตๆ ไร้เมล็ดนะ เทสอย่างต่ำ 2 ลูกขึ้น ใครถูกหวยโดยเฉพาะแม่บ้าน (อิจฉาหว่ะ) แขกไม่เอาให้ยกไปเก็บก็จัดการแบ่งปันเพื่อนร่วมงานซะ อร่อยยกทีมกันทีเดียว

4. เงาะ อันนี้จะตามฤดูกาลหน่อยนะ เวลายกไปนี่ก็ต้องเลือกดี ๆ วัดดวงนิดนึงว่าแขกกินไปแล้วจะเจอเงาะที่ในเมล็ดร่วน ๆ มีมดดำแฝงอยู่หรือเปล่า ถ้าเจอก็เตรียมรับพรได้เลยนะ

5. มะม่วง สุดยอดผลไม้ไทยและที่สุดของการจัดเตรียมต้องนี่เลยครับ เพราะกว่าจะปอก จะจัดเรียง และต้องมั่นใจว่ามะม่วงนั้นหวานและสุกจริง ๆ ปอกไม่ดีมีเละ จัดไม่ดีมีลื่นผิดรูปผิดรอยกันไป ส่วนที่ไม่ปอกและเสิรฟท์ให้แขกเป็นลูก ๆ เลยอันนี้ก็เตรียมตัวรับพรได้นะถ้าไม่ offer ปอกให้แขก ประมาณว่า "เธอจะให้ชั้นเอาปากกัดหรือไง ขอมีดก็ไม่ให้"

6. ส้ม จะเขียวหวานหรือหวานเขียว ก็แล้วแต่ นับเป็นผลไม้แรก ๆ ที่นึกถึงเวลาให้ออกแบบ Fruits Basket เพราะหาซื้อง่ายราคาถูก (ถ้าไม่ใช่ส้มแคลิฟอร์เนียนะ) เวลาเตรียมก็ต้องปอกเป็นกลีบ ๆ ให้แขกรับประทาน หรือจะให้ทั้งลูกปอกแค่เปลือกดูสวยงามอันนี้ก็ตามสะดวก

7. กีวี ผลไม้่นี้จะไฮโซนิดนึง โรงแรมไหนมีก็อาจจะมีแซวเล่น ๆ กับเพื่อนโรงแรมอื่น ถ่มถุยกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่าโรงแรมชั้นไฮโซนะเสิรฟท์กีวีด้วย

ปล. เวลาจัดเตรียม แผนก Kitchen จะเป็นคนดำเนินการ กุ๊ก บางคนที่มีฝีมือเรื่องแกะสลักก็ได้เปรียบไปเพราะจะทำให้งานออกมาดูสวยเนี๊ยบมาก ที่สำคัญจะเป็นที่รักของเพื่อน ๆ เพราะเพื่อน ๆ จะชอบให้สอนให้ ดีไม่ดีข้ามห้วยไปสอน Front, HK, แม่บ้าน อีกต่างหาก




วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

เรื่องของของหาย




จากการสำรวจของสถาบันวิจัย Stupid guest พบว่า 5 อันดับของหาย ซึ่งถือเป็นสุดยอดของหายยอดนิยมที่แทบจะต้องเจียด Service Charge ตัดของกรูไปซื้อทุกเดือน

1. Adapter หรือปล๊ักสามตา อันนี้ต้องแยกก่อนว่าโรงแรมบางโรงแรมจะ Install ปลั๊กที่เป็นสามตาไว้ให้แขกเสียบ (เสียบปลั๊กนะเว้ย อย่าคิดลึก) อยู่แล้ว แต่บางโรงแรมที่ทำไม่ทัน ก็ต้องมีปลั๊กไว้สำรองเวลาแขกจะชาร์โน๊ตบุ๊คบ้าง ไอพอต ไอแพด ไอเฮียร์ นู้นนี่นั่น ก็ขอกันไป ไอ้ตอนขอเนี่ยไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้ตอนคืนเนี่ย หายบ้าง เอากลับบ้านไปบ้าง หาไม่เจอบ้าง หายทุกวัน

2. Bathrobe หรือชุดคลุมอาบน้ำ อันนี้จะออกแนวอยากได้เป็นของที่ระทึกตึกโป๊ะ วัดดวงกันไป กะว่า Check out แล้วแม่บ้านเช็คห้องไม่ทันก็เนียน ๆ เอาไปซะ ส่วนถ้าทันก็ให้คืนหรือแก้เขินว่า อุ๊ยพี่ลืม!!!! อะไรแบบเนี๊ยะกันไป

3. slipper หรือ รองเท้าใส่เดินในห้อง สันนิษฐานว่า บางโรงแรมขอซื้อดี ๆ ก็ได้ เพราะแขกบางคนอยากได้เป็นที่ระลึกก็จะถามตรง ๆ เลยว่า เท่าไหร่และยินดีจ่าย แต่พวก Mission Impossible ออกแนวดูหนังจารกรรมมากไปก็หยิบฉวยกันไปแบบไม่ได้บอกกล่าวกันบ้างไรบ้าง แต่เดี๋ยวนี้บางโรงแรมก็ให้ฟรีกันแล้วนะ แขกบางคนก็เลยจะสับสนประมาณว่าไปโรงแรมอื่นเค้าให้พอมาโรงแรมที่ไม่ให้ก็ด่าว่าโรงแรมทำไมยังไม่ให้อีก ที่อื่นเค้าให้กันหมดแล้ว ..คือกูผิดที่ไม่ให้ Slipper เนี่ยนะ เหลือกตาดูค่าห้องหน่อย ไอ้ที่เค้าให้น่ะมันหกดาวคืนเป็นหมื่น โรงแรมกูสี่ดาวเอง

4. ผ้าเช็ดหน้า จริง ๆ คงอยากเอาไปครบเซ็ตแหละแต่กลัวว่า แม่บ้านขึ้นไปเช็คห้องจะผิดสังเกตุ เข้าใจว่าคงอยากได้ของที่ระลึกอ่ะนะแต่ไม่อยากซื้อ ครั้นจะเอาผืนใหญ่ไปเดี๋ยวพนักงานจับได้อีก ก้อเอามันอันเล็ก ๆ นี่แหละ

5. ร่ม จะด้วยถือติดกลับมือได้โดยมิได้ตั้งใจบ้าง หรือตั้งใจยัดเอาไปใส่รถไว้ก่อนค่อยกลับมาเช็คเอาท์บ้าง อันนี้ก็ไม่ทราบได้ แต่ที่รู้ ๆ คือ ถ้าเช็คห้องไม่ทัน โดนแน่ ๆ ขอบอก

ยังไงก็ทราบ ๆ ไว้นะครับแขกทุกท่าน โรงแรมเนี่ยบอกกันดี ๆ เรายินดีขายหรือบางทีให้ฟรีก็ได้ครับแต่บอกกันก่อนนิดนึงนะตัวเอง ยิ่งหายมากเท่าไหร่ Service Charge พวกเค้าก็หายเยอะเท่านั้นนะจ๊ะ 

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

ตอน อยากอยู่ฟรีก็ไม่บอก



ช่วงเรื่องเล่าจากทางบ้าน...รายการใหม่ "Club Stupid Guest" กับเฮีย
วันนี้น้องเค้ามีปัญหาคือมีแขกตอนแรกมาพักยังไม่มีปัญหาอะไรเลยทุกอย่างโอเคหมด แต่พอถึงเวลาเช็คเอาท์เงินที่จ่ายเสือกไม่พอ ทีนี้ล่ะมาเลย ปัญหาสารพัดร้อยแปด น้ำไม่ไหล ไฟดับ กระสับกระส่าย ควายจะออกลูก จมูกดั้งไม่โด่ง เพื่อที่ต้องการคำว่า "ไม่เป็นไรค่ะให้พักฟรีก็ได้" เพราะไม่มีตังค์จ่ายเลยหาไม้ตายให้ตัวเอง (แต่ถ้าทำอย่างงี้ที่อื่นอาจไม่ใช้ไม้ก็ได้นะที่ตาย) แถมสรรคุณตัวเองที่อ้างว่าหน้าที่การงานใหญ่โตเนี่ยเทียบกับกิริยามารยาทแล้วไม่น่าไปกันได้เลย จากที่เคยเจอคนดี ๆ ใหญ่ ๆ มีหน้ามีตาจริง ๆ เค้าก็พักกันปกติมีปัญหาบ้างก็แก้ไขขออภัยกันไปไม่ถึงขนาดอยากได้ฟรีขนาดนั้น
ใครเจอแบบนี้เฮียแนะนำนะครับ กรณีที่แขก complain น้ำไม่ไหล ไฟดับ ต้องมีการลง Record ไว้ ทำเป็น Report Log Book วันต่อวันเลยยิ่งดีเพื่อเวลามีปัญหาแบบนี้ (ซึ่งจริงๆ แขกดี ๆ เค้าไม่ทำกัน) จะได้เอาสมุดมายันเลยว่ามีปัญหาแล้วไม่แจ้งกูจะไปตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์ได้ยังไงวะ เพราะทุกห้องเค้าต้องเช็คสภาพก่อนแขกเข้าอยู่แล้วว่าดีมั้ยโอเคมั้ย เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ถ้าห้องไม่ดีแล้วจะทนอยู่จนเช็คเอาท์ ปกติเค้าจะรีบแจ้งมีปัญหาก็จะได้ย้ายห้องอัพเกรดให้อะไรก็ว่ากันไป แต่ที่แก้ปัญหาได้ดีที่สุดคือก่อนพักเก็บไปเลย Deposit น่ะเอาให้ Cover ปกติตอนเฮียทำอยู่ที่ Luxury Resort แขกจ่าย Deposit ค่าห้องพร้อม Extra Charge Deposit คืนละพันนะ แต่ก็ต้องยึดคำว่า Flexible ด้วยเพราะบางทีแขกอยู่เดือนนึงจะไป Extra เค้าวันละพันเดือนนึง 3 หมื่นอันนี้ก็เกินไป ก็ฝากน้อง ๆ หนูๆ ไว้นะเป็นวิทยาทานเตรียมตัวกันไปนะ...น้องนี่ยังใจดีนะจะ Host Launch
----------------------------------------------------------------------------------
เนื้อหา
ฮือออพี่ขามีเรื่องโหดร้ายวันสงกรานต์มาเล่าให้ฟัง จะไปปรึกษาพี่อ้อยพี่ฉอดแกก็คงไม่เข้าใจ คือลูกค้ามาพักแล้วไม่ได้จ่ายเงินตอนเช็คอินค่ะ เนื่องจากลูกค้าขอไปกดก่อนแล้วก็หายเงียบไปจนวันเช็คเอาท์ สาระพัดสิ่งจะคอมเพรนเลยค่ะต่างๆนา บอกว่าห้องไม่สะอาด ส้วมไม่ได้กด แม่ยายไม่ได้ร้องคาราโอเกะเพราะร้านอาหารปิดเร็ว อุณภูมิในห้องไม่สม่ำเสมอลูกพี่ท่านจะไม่สบาย ปิดท้ายด้วย"ผมอยากรู้ว่าโรงแรมจะรับผิดชอบยังไง".....หนูก็เสนอไปขอรับรองอาหารกลางวัน ก็ไม่เอา ให้ว๊อยเชอ ก็ไม่เอา ลดราคาก็ไม่พอใจ อยากจ่ายแค่นี้ นั่งด่านั่งบ่นอยู่ชัวโมงกว่าไม่จบไม่สิ้น เค้าบอกเค้าเป็นด๊อกเตอร์ เป็นหมอฟัน เป็นอาจารย์มหาลัย พ่อตาแม่ยายเค้าเจ้ายศเจ้าอย่างต่างๆนาๆ ไม่จบซักทีพี่แกพูดอยู่ฝ่ายเดียว หนูอยากรู้ว่าเวลาเจอสถานะการแบบนี้ควรทำยังไงดีคะ คือมันยืดเยื้อไม่จบสิ้นเงินก็ไม่ยอมจ่ายซักที จากหนูน้อบน้อมกับเค้าทีแรกจนหนูต้องพูดตรงๆว่าหนูไม่อยากมานั่งเถียงกับคุณแล้ว ก็มาเรียกจิกหนูว่า"อีนี่ไม่ต้องพูดเลย"T^T สุดท้ายหนูจบเรื่องด้วยการเรียกตำรวจค่ะ ไม่เคยทำขนาดนี้กับลูกค้ามาก่อนแต่จุดนั้นก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ยังไงชื่อเสียงก็เสียอยู่แล้วละลูกค้ามาเลเวลนี้ ของก็เสียไปแล้วกินเต็มที่ขี้เต็มส้วมไปแล้ว โดนด่าก็โดนซะไม่เหลืออะไรละ สุดท้ายยังไงก็ต้องได้เงินแหระวะ!! พี่มีวิธีอื่นแนะนำด้วยน๊ะคะ;) ขอบคุณที่สละเวลาอ่านค่ะ
ปล,น้องเค้าอยากได้ไอเดียจากพวกเราด้วยนะว่าจะทำยังไง เอ้า !!!! ช่วยกัน Brain Storm กันหน่อยครับช่วยเหลือเพื่อนๆ อุตสาหกรรมเดียวกัน ช่วย ๆ กันไปนะทุกคน คนที่ไม่เจอก็เก็บไว้เป็น Case Study นะแจ๊ะ

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

เรื่องนี้พี่จะไม่ยุ่งงงงงงง



เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ได้รับ Request จากน้องรักท่านนึงที่ตอนนี้ได้ดิบได้ดีไปสิงอยู่ที่โรงแรมระดับ Luxury และก็ดีใจกะมันด้วย อยู่ดี ๆ ก็ไลน์มาบอก "เฮียมีคน Request เรื่องผีอ่ะ เฮียเล่าให้ฟังบ้างดิ" อ่ะเมื่อน้องขอมาเฮียจัดให้
ก่อนที่จะฟังเรื่องนี้เนี่ยทั้งแขกงี่เง่าที่ชมเพจนี้อยู่และพนักงานโรงแรมทุกชั้น วรรณะเพื่อเพิ่มบรรยากาศกรุณาปิดไฟทั้งบ้านเลยนะ แล้วเปิดเพลงแนวอึม ๆ ทึม ๆ เย็นยะเยือกขับกล่อมไปด้วยก็ดีนะเพื่อสร้างบรรยากาศ ส่วนถ้าแม่มาเจอแล้วถามว่า "มึงเป็นห่าอะไรปิดไฟทั้งบ้านเนี่ยก็บอกแม่ไปว่า ผมมันอินดี้แม่ไม่เข้าใจหรอก" หลังจากนั้นถ้ามีอะไรมากระทบหัวก็ตัวใครตัวมันนะถือว่าแม่ให้พร
เรื่องนี้เกิดขึ้นช่วงเวลาประมาณ 4 ทุ่มตอนนั้นเฮียกินตำแหน่ง Night Manager อยู่เข้างานรอบดึกก็กำลังเข้ามาต่อรอบพอดี เฮียรับเช็คอินท์แขกคนหนึ่งที่มาเช็คอินท์ด้วยท่าทางอิดโรยเพื่อไฟลท์ดีเลยมา แม่งดีเลย์เป็นชั่วโมงแถมยังต้องนั่งรถจากสุวรรณภูมิมาพัทยาอีกสงส๊าน สงสารแกมาก มาถึงเฮียก็รีบทำทุกอย่างๆ เร็วที่สุดแล้วทีนี้ด้วยครั้งแรกเนี่ยตอนก่อนที่แขกจะมาเนี่ยเฮียเห็น booking ในระบบ Epi มันเหลือ Expect Arrival อยู่ 1 ห้องก็เลยขึ้นไปตรวจห้องก่อนที่แขกจะมาเช็คอินท์ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของรอบดึกที่ต้องคอยสังเกตุพวกนี้ พอทำคีย์การ์ดขึ้นไปเสร็จพลันที่ลิฟท์เปิดประตูออกเนี่ยต้องบอกก่อนเลยว่าโรงแรมที่ทำงานอยู่นั้นเขาจะเข้าโหมด Energy Savine หลัง 3 ทุ่มเนี่ยเค้าจะหรี่ไฟเพื่อประหยัดพลักงานและปิดเพลงที่เปิดบนฟลอร์ เฮียเดินออกมาจากลิฟท์บรรยากาศเนี่ยรู้สึกว่ามันเงียบๆ มีแสงสลัว ๆ ออกแนวถ่ายหนังเรื่องพี่มาร์คพระประแดงได้เลย ก้าวย่างที่ค่อย ๆ เดินไปถึงห้องเนี่ยนึกสภาพว่าด้วยความที่มันเงียบแสงไฟริบหรี่สลัวๆ ไม่มีแม้แต่เสียงแขกที่คุยกันในห้องเล็ดลอดออกมาเหมือนช่วงวันหยุด Long weekend ที่แขกเยอะ ความรู้สึกมันเหมือนเฮียเดินอยู่ในโรงแรมคนเดียวแต่เหมือนมีคนมองอยู่จากด้านหลังจริงๆ นะ จนกระทั่งมาหยุดที่หน้าห้องก็เอาคีย์การ์เปิดเข้าไป พอเปิดห้องไปปุ๊บซีนแรกเจอเลยครับประตูระเบียงมันเปิดค้างอยู่แถมมีลมทะเลพัดเข้ามาเอื่อย ๆ กระทบผิวจนเย็นยะเยือกแต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ใจก็ยังแอบโมโหแม่บ้านนิดนึงว่าทำไมทำห้องแล้วไม่ปิดประตู แล้วก็โทรศัพท์ลงไปที่ห้องแม่บ้าน "น้อง ทำห้องเตรียมอินท์ลืมปิดประตูระเบียบหรือเปล่าเนี่ยเฮียขึ้นมา Inspection ประตูยังเปิดอยู่เลย" ปลายสายมันตอบมาว่าไงรู้มั้ยครับ "เฮีย ผมปิดเรียบร้อยแล้วนะครับหมดทุกอันเลยผมเนี่ยแหละปิดกับมือเลยเฮีย แล้วมันจะเปิดได้ไงเฮีย ช่างเค้าเข้าไปซ่อมอะไรหรือเปล่าเฮียลองถามเค้าก่อนมั้ย แต่ Record ขึ้นไปซ่อมห้องของผมไม่มีนะเฮีย" จริง ๆ ตอนนั้นก็ยังเออ ออ กับมันนะว่าช่างอาจเข้ามาซ่อมอะไรวะเพราะห้องมันก็ไม่ได้มีแจ้งเสียอะไรถ้าเสียเค้าก็คง Assign ห้องอื่นตั้งแต่แรกแล้วเพื่อความแน่ใจก็เช็คไปที่ ช่าง ว่ามี Daily Log แจ้งซ่อมอะไรห้องนี้มั้ยเพราะปกติถ้าช่างจะซ่อมต้องแจ้งเอากุญแจที่ Front อยู่แล้วถ้าไม่ไปพร้อมแม่บ้าน พอเช็คไปก็ได้คำตอบเหมือนแม่บ้าน "ไม่มีนะเฮีย ผมไม่มีขึ้นซ่อนอะไรเลยนะห้องมันปกตินะเฮีย" ฝั่งช่างก็ไม่มีแจ้งอะไรเลย ความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้กลัวอะไรแต่สงสัยมากกว่าเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้แล้วอีกอย่างการปิดประตูระเบียงเนี่ยให้รีบเร่งแค่ไหนหรือแม่บ้านมือใหม่แค่ไหนมันไม่ใช่อะไรที่น่าจะพลาดกันได้ แต่เฮียก็ยังไม่ได้สนใจอะไรนะ จนกระทั่ง Inspection เสร็จแล้วและกำลังเดินออกมาจะปิดประตูห้องยังไม่ทันจะหยิบคีย์การ์ดออกไฟในห้อง แอร์ ทีวี ดับพรึบพร้อมกันหมด เออ เยี่ยมคือด้วยความที่เฮียเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่ก็เลยนึกหงุดหงิดว่า "ห้องแม่งมีปัญหาอีกแล้วแขกจะมาแล้วเนี่ย" แต่เพื่อความมั่นใจก็เช็คอีกครั้งโดยการเอาคีย์ออกตอนที่มันยังมืด ๆ อยู่เนี่ยแหละแล้วก็เสียบใหม่...พรึบ!!! ไฟติดปกติ ทีวี แอร์ทำงาน ประมาณ 10 นาทีก็ลองเอาคีย์การ์ดออกไฟก็ดับปกติ ทำอยู่ประมาณสองรอบเพื่อให้แน่ใจว่าระบบไฟปกติดีจากนั้นก็กลับไป
ตัดกลับมาที่แขกที่เช็คอินท์เสร็จแล้วแกก็ขึ้นห้องไปพร้อมกับเบลที่เอากระเป๋าไปส่งให้แก แล้วเฮียก็ทำงานปกติไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเวลา 24.00 น.หรือเที่ยงคืน แขกคนเดิมเดินลงมาด้วยสภาพกางเกง Boxer เสื้อไม่ใส่และกระเป๋าเดินทางพร้อมสีหน้าที่ตกใจมากมาถึงก็ถามหา Manager เสียงดังลั่นเฮียก็รีบออกหน้ามารับทันที แกก็คุยกับผมแบบตกใจมากว่า "You หาห้องใหม่ให้ฉันหน่อยได้มั้ย ฉันขอร้อง ฉันนอนไม่ได้เลย ทำไม you ให้ห้องนี้กับฉัน (จริง ๆ ห้องนี้เป็นห้องที่ดีที่สุดที่มีตอนนั้นแถมเป็น FOC Upgarde ให้แกด้วยนะ" ผมก็บอกแกให้ใจเย็น ๆ มีปัญหาอะไรในห้องหรือเปล่าให้ช่างขึ้นไปดูไปแก้ไขให้มั้ย แกส่ายหน้าโบกมือไม่ ๆ ตลอดเวลา แกพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ครับเหมือนตกใจว่า "ตอนแรกชั้นขึ้นไป ชั้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็นอนสักพัก ฝักบัวในห้องน้ำมันก็เปิดไหลเอง ชั้นนึกว่าชั้นลืมปิดชั้นเลยลุกขึ้นไปในห้องในแต่ในขณะที่ชั้นกำลังเดินเข้าไปในห้องน้ำฝักบัวมันก็หยุดใหล ชั้นนึกว่ามันเป็นปัญหาเรื่องท่อน้ำเลยไม่ได้เอะใจอะไรก็มานอน" เล่าถึงตอนนี้เหมือนแกยังตกใจอยู่แต่ไม่เท่าตอนแรกผมก็ชวนแกไปนั่งคุยที่โซฟาหน้า Lobby เพื่อให้แกผ่อนคลายจากนั้นแกก็เล่าต่อว่าแกนอนไปได้สัก 10 นาที คราวนี้ทีวีเปิดเอง แกก็งัวเงีย ๆ ว่าแกนอนทับรีโมทหรือเปล่าแต่พอหาไปหามามันไม่ใช่เพราะรีโมท์อยู่โต๊ะหน้าทีวีไม่ได้อยู่ที่เตียงคราวนี้แกเริ่มรู้สึกกลัวเลยเก็บของลงมาขอย้ายห้อง"
ผมไม่รอช้าเลยครับหาห้องใหม่ให้แขกโดยด่วนและเลือกห้องที่อยู่คนละตึกคนละโซนกับห้องเมื่อกี้เพื่อให้แกสบายใจพร้อมบอกแกว่าถ้ามีอะไร You โทรลงมาหาชั้นได้ตลอดเวลานะ พอเสร็จผมก็ให้ Bell เอาของแกขึ้นไปเก็บที่ห้องใหม่ก่อนแล้วก็แจ้งแม่บ้านไปเช็คห้องเก่าว่ามีอะไรหลงเหลืออยู่ไม่แล้วให้ Touch up ห้องกลับสูง OC เหมือนเดิม ก่อนแกขึ้นไปผมก็ชวนแกคุยหน้าล็อบบี้ก่อนประมาณ 15 นาทีให้แกผ่อนคลายจนแกขึ้นไปนอนบนห้องและก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ส่วนห้องนั้นก็รู้กันในหมู่รอบดึกวันนั้นและพนักงานว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งผมก็ได้แจ้งฝ่ายบริหารไปให้ทำตามขั้นตอนต่อไป
....................................................................................................

บทความแนะนำ