แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Hotel Business แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ Hotel Business แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ขอแสดงความยินดีกับชาว Accor ด้วยนะครับ


แอคคอร์ (Accor) ได้รับรางวัลบริษัทท่องเที่ยวที่ยั่งยืนที่สุด (The Most Sustainable Travel Company) จากงานประกาศผลรางวัล TTG Travel Awards 2022 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 31 ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย นอกจากนี้ไอบิส (ibis) แบรนด์โรงแรมราคาประหยัดของแอคคอร์ ยังได้รับรางวัลแบรนด์โรงแรมราคาประหยัดที่ดีที่สุด (Best Budget Hotel Brand) เป็นครั้งที่เจ็ดอีกด้วย
รางวัล TTG Travel Awards เป็นหนึ่งในรางวัลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่องค์กรชั้นนำและบุคลากรในวงการที่มุ่งมั่นมอบความเป็นเลิศในด้านการบริการมาตั้งแต่ปี 1989
Accor เป็นกลุ่มโรงแรมรายใหญ่กลุ่มแรกที่ก่อตั้งแผนกสิ่งแวดล้อมขึ้นในปี 1994 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทได้ยืนหยัดในตำแหน่งผู้นำผ่านเป้าหมายที่มุ่งเน้นการลดการใช้พลังงาน การปกป้องสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนชุมชนในท้องถิ่นและการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น Accor Solidarity ได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี 2561 และได้สนับสนุนโครงการชุมชนกว่า 450 โครงการใน 50 ประเทศจนถึงปัจจุบัน ในปี 2564 Accor มุ่งมั่นที่จะบรรลุการปล่อยคาร์บอน Net Zero ภายในปี 2593 ปัจจุบันกลุ่มบริษัทกำลังกำจัดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งทั้งหมดออกจากพื้นที่ประสบการณ์ของแขกและกำลังทำงานในการริเริ่มเพื่อลดขยะอาหาร
แอคคอร์เป็นกลุ่มโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันกลุ่มบริษัทดำเนินการโรงแรมมากกว่า 370 แห่งภายใต้แบรนด์โรงแรม 18 แบรนด์ทั่วภูมิภาค โดยมีโรงแรมอีก 120 แห่งที่จะเข้าร่วมเครือข่ายภายในห้าปีข้างหน้า
Nontawan Laohakiat (Toey)
Assistant Manager, Communications
Southeast Asia, Japan & South Korea

ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียในเหตุการณ์ที่หนองบัวลำภูทุกท่านด้วยครับ



ปัจจุบันนี้ด้วยสภาพสังคม เศรษฐกิจ การการใช้ชีวิต ค่อนข้างเปลี่ยนไปมาก เหตุการณ์แบบนี้เริ่มเกิดบ่อยขึ้น ในมุมของพนักงานโรงแรมเองจากที่ปัจจุบันนี้เรามีการ Training เกี่ยวกับความปลอดภัยกันอยู่แล้วในเรื่องของ

- First Aid 
- การอพยพหนีไฟ การจัดการกรณีเพลิงไหม้

เพื่อเป็นทักษะในการดูแลตัวเอง แขก และเพื่อนร่วมงานในกรณีที่เกิดเหตุดังกล่าว ณ ตอนนี้น่าจะต้องมีอีกการ Training หนึ่งเพิ่มเข้าไปนั่นคือกรณีของมาตรการจัดการหากเกิดเหตุ Active Shooter ในพื้นที่โรงแรมเพราะต้องยอมรับว่าโรงแรมก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ซึ่งในวันหนึ่งต้องให้บริการแขกมากหน้าหลายตา การเฝ้าระวัง การป้องกัน และการบริหารจัดการสถานการณ์ที่เกี่ยวกับการเกิด Active Shooter เป็นอีกทักษะหนึ่งเช่นกันที่ควรจะต้องมีไว้เพื่อดูแลตนเอง แขก และเพื่อนร่วมงาน

ประเด็นนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งอย่างที่ตอกย้ำว่าบุคคลากรในอุตสาหกรรมโรงแรม (และอาจจะอุตสาหกรรมอื่น) ปัจจุบันนี้ต้องมีการ Up Skill กันทุกอย่าง ในประเด็นนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับฝ่าย Security และ Loss & Prevention ก็ต้องเริ่มมองหามาตรการป้องกันและวิธีการจัดการเกี่ยวกับกรณีนี้กันไว้ล่วงหน้าเพื่อใช้บริหารจัดการกรณีเกิดเหตุตามขอบเขตที่ตนเองนั้นทำได้

สำหรับการเอาตัวรอดจากเหตุกราดยิงอ้างอิงข้อมูลจาก รศ.นพ.รัฐพลี ภาคอรรถ ศัลยแพทย์และอาจารย์จากภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ (https://www.chula.ac.th/cuinside/27394/) จุฬาฯ ชี้แนวทางสำคัญในการเอาตัวรอดเมื่อเกิดเหตุการณ์กราดยิงว่า ควรยึดหลักตาม Hartford Consensus หรือหลักการเอาตัวรอดในยามเกิดวิกฤติ ซึ่งแบ่งเป็น RUN HIDE FIGHT (หนี ซ่อน สู้) โดยเรียงลำดับความสำคัญตามลำดับ โดยมีวิธีดังนี้ (https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2464164)

การหลบหนี (Run)
- หนีจากที่เกิดเหตุให้เร็วที่สุด โดยสังเกตทางเข้าออกและจดจำทางเข้าออกให้แม่นยำ

- วางแผนและเตรียมพร้อมในการหลบหนีออกจากสถานที่นั้นอย่างรวดเร็วที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางหนีที่คับแคบ

- มีสติอยู่เสมอขณะหลบหนี และควรทิ้งสิ่งของหรือสัมภาระทั้งหมดเพื่อการหลบหนีที่คล่องตัว และหากเป็นไปได้ควรช่วยเหลือคนรอบตัวให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

การหลบซ่อน (Hide)
ในกรณีที่ไม่สามารถหลบหนีได้ควรหาที่หลบซ่อนเพื่อให้รอดพ้นสายตาของผู้ก่อเหตุให้มากที่สุด โดยมีวิธีดังนี้

- ปิดไฟมืด ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์สื่อสารที่ทำให้เกิดเสียง เช่น ทีวี วิทยุ เปลี่ยนโหมดโทรศัพท์มือถือเป็นระบบสั่น

- หากมีหน้าต่างหรือประตู ให้ปิดม่านพร้อมล็อกประตูให้แน่นหนาที่สุด
การหลบซ่อนที่ดีคือควรแอบอยู่หลังหรือใต้โต๊ะหรือตู้ที่แข็งแรง
พยายามหลีกเลี่ยงที่อับปิดตาย และไม่ควรอยู่ใกล้ที่เสี่ยงอันตราย เช่น ริมหน้าต่าง ริมประตู กระจก

- หากหลบซ่อนอยู่หลายคน พยายามกระจายพื้นที่หลบซ่อนให้มากที่สุด และพยายามขอความช่วยเหลือโดยไม่ต้องใช้เสียง เช่น ส่งข้อความขอความช่วยเหลือผ่านทาง SMS หรือ Line

การต่อสู้ (Fight)
หากอยู่ในสถานการณ์คับขันที่ไม่สามารถหลบหนีหรือซ่อนตัวได้ วิธีสุดท้ายในการเอาตัวรอดคือการต่อสู้โดยใช้สติและกำลังทั้งหมดที่มี โดยมองหา

- จุดบอดของผู้ก่อเหตุให้ได้ หากอยู่รวมกันหลายคนควรช่วยกันต่อสู้เพื่อให้ผู้ก่อเหตุบาดเจ็บให้มากที่สุด นอกจากนี้ สิ่งที่ไม่ควรทำคือการร้องอ้อนวอนขอชีวิต เพราะมักไม่ได้ผล ในทางกลับกันยิ่งกระตุ้นให้ผู้ก่อเหตุตื่นตัวมากขึ้นกว่าเดิม

การเตรียมพร้อมรับมือเหตุกราดยิง
- ควรรู้เบอร์โทรศัพท์ที่จำเป็นเพื่อใช้ในเหตุฉุกเฉิน เช่น 191, 1669 หรือโหลดแอปพลิเคชันช่วยเหลือฉุกเฉินอย่าง จส.100 เพื่อแจ้งเหตุฉุกเฉินในหลายๆ ช่องทาง

- ควรรับมือการฝึกอบรมปฐมพยาบาลสำหรับอุบัติเหตุ อบรมการห้ามเลือด อบรมการช่วยชีวิตเบื้องต้น เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด
ก่อนออกจากบ้านควรชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์ให้เต็มและมีแบตเตอรี่กับสายชาร์จสำรองพร้อมใช้เสมอ

- บอกที่มาและที่ไปพร้อมเวลากลับแก่คนที่บ้านหรือคนใกล้ชิดเสมอ เพื่อให้สามารถช่วยเหลือในเวลาฉุกเฉินได้

นอกจากนี้แล้วเราควรมี Situation awareness คือเมื่อเวลาไปไหนให้สังเกตทางหนีทีไล่ของเรา อย่างน้อยก็ต้องดูไว้ว่าทางเข้าออกของสถานที่ที่เราไปมีกี่ทาง อยู่บริเวณไหน เควรสังเกตสถานการณ์ผิดปกติ เช่น มีเสียงดังผิดปกติ มีควันไฟ แสงสว่างจ้า หรือระเบิด ไฟดับ มีคนวิ่งหนีผิดปกติ เป็นต้น จากนั้นควรพิจารณาทิศทางการหลบหนี และหนีให้พ้นจากสถานที่เกิดเหตุให้ไกลที่สุด สละทิ้งของที่ไม่จำเป็น เพราะชีวิตมีค่ามากกว่าสิ่งของ ก่อนถึงจุดปลอดภัยค่อยโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เนื่องด้วยธุรกิจโรงแรมเป็นสถานที่ซึ่งเป็นศูนย์รวมของหลากหลายการเตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งที่สำคัญและหากบุคคลากรของโรงแรมมีความพร้อมก็จะช่วยบรรเทาความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้บ้างไม่มากก็น้อย ปัจจุบันนี้มีหน่วยงานที่ให้ความรู้เกี่ยวกับฝึกอบรมทักษะการจัดการกรณี Active Shooter ซึ่งเราสามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาหรือการจัด Course Training ร่วมกันได้

#hotelman #hotelmantravel #hotelblogger#hotelstay #hotelroom #hotelbusiness#hoteljob #hotelstaff

ขอแสดงความยินดีกับชาว Kempinski ทุกคนด้วยนะครับ

Kempinski Spa ได้รับรางวัล World Spa Awards 2022



World Spa Awards ได้ประกาศผู้ชนะของโปรแกรม 2022: ผลปรากฎว่ามีโรงแรม Kempinski 9 แห่งจากทั่วทุกมุมโลกโลกได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็น "ผู้นำในการให้บริการโดยนักบำบัดชั้นนำพร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับไฮเอนด์ซึ่งให้บริการในสปาอันหรูหราของพวกเขา" และนอกจากนี้โรงแรม Kempinski ทั้ง 9 แห่งยังได้รับรางวัลเป็นโรงแรม/รีสอร์ทสปาที่ดีที่สุดในปี 2022 ในแต่ละประเทศที่ตนเองดำเนินธุรกิจอยู่
รางวัล World Spa Awards เปิดตัวในปี 2015 ในฐานะส่วนหนึ่งของงาน "World Travel Awards" โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนมาตรฐานด้านสปาและการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ผู้เข้าประกวดที่ได้รับการเสนอชื่อจะได้รับการโหวตจากผู้ที่เป็นมืออาชีพที่ทำงานในอุตสาหกรรมสปา, ผู้บริหารระดับสูง, ผู้ซื้อการเดินทาง, ผู้ประกอบการท่องเที่ยว, ตัวแทน และสื่อ โดยสาธารณะ
สำหรับโรงแรมทั้ง 9 แห่งของ Kempinski ที่ได้รับรางวัลประกอบด้วย
1. Egypt's Best Hotel Spa 2022: Resense Spa at Royal Maxim Palace Kempinski Cairo
2. Ghana's Best Hotel Spa 2022: Resense Spa at Kempinski Hotel Gold Coast City Accra
3. China's Best Hotel Spa 2022: Kempinski The Spa at Kempinski Hotel Fuzhou
4. Dominica's Best Resort Spa 2022: Kempinski The Spa at Cabrits Resort & Spa Kempinski
5. Bulgaria's Best Hotel Spa 2022: Kempinski The Spa at Kempinski Hotel Grand Arena Bansko
6. Jordan's Best Hotel Spa 2022: The Ishtar Spa by Resense at Kempinski Hotel Ishtar Dead Sea
7. Lebanon's Best Hotel Spa 2022: Resense Spa at Kempinski Summerland Hotel & Resort Beirut
8. Switzerland's Best Resort Spa 2022: The Spa at Kempinski Palace Engelberg
9. Cuba's Best Hotel Spa 2022: Spa Albear by Resense at Gran Hotel Manzana Kempinski La Habana
สำหรับเครือ Kempinski Hotels ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2440 เป็นกลุ่มโรงแรมหรูที่เก่าแก่ที่สุดของยุโรป ปัจจุบัน Kempinski Group มีโรงแรมและ Residence 81 แห่ง ใน 35 ประเทศ และปัจจุบันมีโครงการกว่า 26 โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทั่วโลก
Source:
Eva-Maria Panzer · Senior Director Corporate Public Relations
Kempinski Hotels · 10, Rue Henriette-et-Jeanne Rath · 1204 Geneva · Switzerland

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2565

แรงงานโรงแรมขาดตลาด ด้านล่างของยอดภูเขาน้ำแข็งที่รอวันปะทะ

 แรงงานโรงแรมขาดตลาด ด้านล่างของยอดภูเขาน้ำแข็งที่รอวันปะทะ


อย่างที่ทราบกันว่าก่อนหน้าวิกฤต COVID-19 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยรวมทั้งการโรงแรมนั้นเปรียบเสมือน “พระเอก” ที่จะเข้ามากอบกู้สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในเกือบทุกครั้งที่เครื่องยนต์ที่ใช้ขับเคลื่อนประเทศอย่าง ภาคการผลิต การเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม นั้นประสบปัญหา ด้วยจำนวนรายได้สูงสุดก่อน COVID-19 ที่เคยทำได้ในปี 2562 กว่า 3.3 ล้านล้านบาท กับ จำนวนนักท่องเที่ยวจำนวนกว่า 39-40 ล้านคน ทำให้อุตสาหกรรมนี้มีเสน่ห์ดึงดูทั้งนักลงทุนชาวไทยและชาวต่างชาติให้เข้ามาสู่ธุรกิจนี้และแน่นอนว่าเมื่อมีนายทุนหรือ “นายจ้าง” ย่อมต้องมีอีกฝั่งคือ “ลูกจ้าง” ที่ย่อมต้องเข้ามาสู่โอกาสนี้ด้วยเช่นกัน ด้วยผลตอบแทนทั้งฐานเงินเดือนที่สูง สวัสดิการที่ดี เงินค่าบริการ (Service Charge) ที่บางโรงแรมมากกว่าเงินเดือนหรือโบนัสทั้งปีอีก ย่อมดึงดูดให้ผู้คนเข้ามาสู่ธุรกิจนี้ได้อย่างง่ายดาย
สถาบันการโรงแรม มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนสาขาการโรงแรม วิทยาลัยการโรงแรม ทั้งในและต่างประเทศ มีนักศึกษาเข้าเรียนสาขานี้กันอย่างมากมายเพราะโอกาสที่มาหลังจากจบการศึกษานั้นมันค่อนข้างสดใสเพราะไม่มีเค้าลางหรือสัญญาณอะไรเลยที่จะมาบ่งบอกว่า “อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะล้มหายตายจากโลกนี้ไป” แม้จะมีวิกฤตเศรษฐกิจมากแค่ไหนแต่การท่องเที่ยวก็ยังโดดเด่นและผู้คนยังคงต้องเดินทางกันต่อไปอาจจะมีชะลอตัวไปบ้างแต่สุดท้ายก็ฟื้นตัวได้เร็วพิสูจน์ได้จากหลายวิกฤตทั้งวิกฤตสงครามอ่าวเปอร์เซีย วิกฤตโรคอีโบลา วิกฤตโรคซาร์ วิกฤตโรคเมอร์ สึนามิ แต่ใช้เวลาไม่นานอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็กลับมาตั้งลำพร้อมทะยานได้อย่างแข็งแกร่งในทุกครั้ง
ก่อนช่วง COVID-19 มีข้อมูลสำรวจจากสมาคมโรงแรมไทย (THA) จำนวนแรงงานในอุตสาหกรรมโรงแรมไทยก่อนช่วง COVID-19 มีจำนวนแรงงานในระบบกว่า 1,630,419 ล้านคน มีโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายทั่วประเทศกว่า 32,564 โรงแรม มี Supply ด้านห้องพักในระบบ 1,254,168 ล้านห้องพัก (https://www.bangkokbiznews.com/news/873519)
แต่หลังจากเกิดวิกฤต COVID-19 มีการประมาณการโดยสมาคมโรงแรมไทยในปี 2563 ว่าจากสถานการณ์ Lockdown ที่เกิดขึ้นส่งผลให้การท่องเที่ยวหยุดชะงักจะทำให้แรงงานในอุตสาหกรรมโรงแรมว่างงานทั้งชั่วคราวและแบบถาวรกว่า 1 ล้านคน นั่นเท่ากับว่าถ้าเรามองกันในจำนวนแรงงานก่อนหน้า COVID-19 กับช่วงที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 จนต้องออกจากอุตสาหกรรมไป แรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเหลืออยู่เพียง 630,419 คน หายไปจากระบบร้อยละ 61.3 เกินครึ่งของจำนวนแรงงานที่มีอยู่
เท่านั้นยังไม่พอนักศึกษาการโรงแรมและการท่องเที่ยที่จำเป็นต้องฝึกงานเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ก่อนออกมาสู่ตลาดแรงงานผลัดเปลี่ยนกับแรงงานที่เกษียณออกไปยังเผชิญภาวะที่เรียกได้ว่าเป็นการ “เรียนจบแบบออนไลน์” ไม่มีโอกาสได้ฝึกงานซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนสาขาการโรงแรมทำให้พัฒนาทักษะได้ไม่เต็มที่ทำให้ถ้าจะเข้าสู่อุตสาหกรรมก็ต้องเพิ่มทักษะการปฏิบัติงานกันเข้าไปใหม่ ส่วนพนักงานที่อยู่ในตลาดก็ประสบกับปัญหาปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการลดการจ้างงานเพิ่มทำให้ต้องทำงานเกินหน้าที่และเกินกำลังไปมาก
แต่หลังจากที่วิกฤต COVID-19 ในทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย ผู้คนเริ่มคุ้นชินกับวิถีชีวิตใหม่ที่ต้องอยู่ร่วมกับมัน อุตสาหกรรมโรงแรมเหมือนจะกลับมาเป็นที่หมายปองของเหล่าบรรดานักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศอีกครั้ง เชนโรงแรมใหญ่ๆ ต่างพาเหรดกันออกมาประกาศแผนการขยายกิจการกันอย่างกว้างขวาง อาทิ
- Marriott International เชนโรงแรมสัญชาติอเมริกัน วางแผนขยายกิจการในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยการเปิดโรงแรมให้ครบ 1,000 แห่ง ภายในปี 2565 (https://www.thansettakij.com/advertorials/social-biz/486053)
- Accor เชนโรงแรมสัญชาติฝรั่งเศส เตรียมแผนขยายกิจการด้วยการเปิดตัวโรงแรมใหม่ปี 2565 กว่า 300 แห่งทั่วโลก (https://www.bangkokbiznews.com/business/984166)
- Intercontinental Hotels Group (IHG) เชนโรงแรมสัญชาติอเมริกัน เปิดเผยแผนการดำเนินงานในช่วง 1-5 ปีข้างหน้าว่า เครือ IHG จะเดินหน้าเปิดโรงแรมแห่งใหม่อีก 30-34 แห่ง หรือคิดเป็นจำนวน 8,100 ห้อง (https://www.prachachat.net/tourism/news-863215)
- Radisson Hotel Group: RHG เชนโรงแรมสัญชาติอเมริกัน ตั้งเป้าเปิดโรงแรมครบ 100 แห่งในไทยภายในปี 2568 จากปัจจุบันมีโรงแรมภายใต้เครือเรดิสันในไทยจำนวน 6 แห่ง (https://www.bangkokbiznews.com/business/1012801)
ยังมีอีกหลายผู้ประกอบการที่เตรียมขยายธุรกิจโรงแรมในปี 2565 และในปีต่อๆ ไป ซึ่งจากตัวอย่างข้างต้นดูเหมือนอุตสาหกรรมโรงแรมของประเทศไทยกำลังค่อยๆ ฟื้นตัวอย่างน่าสนใจจากการเร่งขยายการลงทุนของเชนใหญ่ๆ ที่ในแต่ละ Property ย่อมตามมาด้วย Supply ห้องพักที่ระดับขั้นต่ำตั้งแต่ 100 ห้องขึ้นไปเพราะเป็นระดับที่สามารถ Drive Revenue ให้กับโรงแรมได้ดีรับลูกค้าได้หลายกลุ่มที่สำคัญแต่ละ Brand มีฐาน Loyalty Program ที่เป็น Member หลักหลายสิบล้านคนทั่วโลก ซึ่งในสถานการณ์ปกติกรณีแบบนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีและมีแต่มุมมองเชิงบวก แต่ไม่ใช่กับในสถานการณ์ตลาดแรงงานโรงแรมในขณะนี้ที่จำนวน Supply แรงงานในระบบเริ่มมีอยู่อย่างจำกัดและนักเรียน นักศึกษาการโรงแรมที่ผลิตออกมาป้อนตลาดซึ่งบางคนถูกจองตัวตั้งแต่ยังเรียนไม่จบและไปฝึกงาน ที่จบออกมาแล้วก็ยังคงต้องอาศัยเวลาในการเรียนรู้และเพิ่มพูนทักษะสู่ความเป็นเลิศทางด้านสายงานบริการโรงแรมในแต่ละแผนกเพื่อแข่งขันในตลาดแรงงานได้ สิ่งที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในสภาวะขาดแคลนแรงงานในมุมส่วนตัวของเฮียต่อจากนี้คือ
1. ภาวะมนุษย์ทองคำ จะเกิดการแย่งชิงแรงงานในตลาดโรงแรม ในสถานการณ์เช่นนี้จากจำนวน Supply โรงแรมที่เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับจำนวนห้องพักที่เพิ่มขึ้นตลาดตอนนี้จะเป็นตลาดที่ “แรงงานมีอำนาจต่อรองสูง” ถ้าเป็นภาษาการตลาดก็คงเป็น “Buyer Market” เป็นตลาดที่ผู้ซื้อมีสิทธิเลือก” โดยเฉพาะแรงงานทักษะสูงและตรงตามคุณสมบัติที่เขาต้องการทั้งทักษะในงานและทักษะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลกธุรกิจในปัจจุบันเพราะตลาดต้องการคนเข้าไปเติมเต็ม Project ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้น แน่นอนว่าเมื่อคนหายาก การจูงใจคือสิ่งที่นายจ้างที่อยากได้แรงงานจะนำมาใช้ ฐานเงินเดือนที่ปรับสูงขึ้น สวัสดิการณ์ที่ดีขึ้น Benefit อื่นๆ จะถูก Offer เข้ามาในส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างงาน เช่น ห้องพักโรงแรมในเครือในราคาพนักงาน (Staff Rate) การทำ Co-Promotion ร่วมกับ Brand อื่นๆ เป็นสิทธิพิเศษให้พนักงาน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ Brand ใหญ่ๆ จะมีอำนาจในการเลือกคนมากกว่า Brand เล็กๆ เพราะสายป่านด้านการเงินจะยาวกว่า กลายเป็นเพดานเงินเดือนที่เป็นฐานของตำแหน่งต่างๆ ในโรงแรมอาจจะถูกปรับสูงขึ้นอีกครั้ง ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นแต่ในอีกมุมก็ต้องยอมรับเพราะในช่วง COVID-19 ที่ผ่านมา พนักงานโรงแรมก็ประสบเคราะห์กรรมและปัญหากันมาอย่างยากลำบากที่ยัง Survive และยืนหยัดอยู่ได้ก็ต้องมีอะไรที่มาฉุดรั้งไว้และทำให้รู้สึกว่า “คุ้มที่จะอยู่ต่อ” ต้องคิดเยอะขึ้นเพราะไม่รู้ว่าจะต้องเจอวิกฤตแบบนี้อีกหรือไม่ ทางหนีทีไล่จึงสำคัญ
2. ความยากในการหาแรงงาน และระยะเวลาที่ใช้ในการ Recruitment ตำแหน่งงานว่างต่างๆ จะใช้เวลานานขึ้น แน่นอนว่าในช่วง COVID-19 พนักงานโรงแรมกว่าล้านคนถูกเลิกจ้างทั้งชั่วคราวและถาวร (https://news.thaipbs.or.th/content/296402) มุมหนึ่งก็สร้างความลำบากให้กับพนักงานโรงแรมเป็นอย่างมาก แต่อีกมุมหนึ่งก็ทำให้พนักงานโรงแรมที่หมดอนาคตในสายอาชีพนี้ไปได้ค้นพบหนทางใหม่ๆ บางคนไปทดลองทำอาชีพอิสระ ที่นิยมที่สุดก็เป็น Driver ให้ Food Delivery ต่างๆ รายได้หนึ่งเดือนก็เกือบๆ ทำงานโรงแรมหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เหนื่อยเหมือนกันหรืออาจจะมากกว่าแต่ได้รับผลตอบแทนและ “เวลา” ที่มีอิสระมากกว่า หรือบางคนก็ไปทำสวน ทำการเกษตร ซึ่งต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้ช่องทางการขาย การหาลูกค้ามันสะดวกขึ้นและเช่นเคยอาจจะงานหนักไปบ้างแต่ “เวลา” และอิสระคือสิ่งที่เข้ามาเติมเต็ม ยังมีอีกหลายๆ ตัวอย่างที่ออกจากอุตสาหกรรมโรงแรมแล้วไปได้ดิบได้ดีซึ่งคนเหล่านี้ถ้าจะให้กลับเขามาอีกมักจะมีคำตอบอยู่สองอย่างคือ “ไม่” กับ “คิดดูก่อน” อาจจะมีส่วนน้อยที่จะตัดสินใจกลับมาทันทีเพราะบางคนก็กลัวว่า “จะโดน Layoff อีกหรือเปล่า” หรือ “ถูกลดค่าจ้างอีกไหม?” เมื่อสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้มีชีวิตที่ดีอยู่แล้วการจะให้กลับไปก็ต้องคิดกันให้ดีพอสมควรยิ่งเป็นยุคของ Work life balance แล้วด้วยหลายคนอาจจะเลือกไม่กลับมา
3. งานโรงแรมไม่ใช่อาชีพในฝันอีกต่อไป ผลพวงจากกระแสความเป็น Digitalization ทำให้ผู้คนคุ้นชินกับเทคโนโลยีมากขึ้นยิ่งไปกว่านั้นมีตัวอย่างผู้คนที่ได้รับความสำเร็จจากการเป็นผู้ทรงอิทธิพลบนโลกออนไลน์ (Influencer) หรือเป็น Blogger, Youtuber, ฯลฯ ทำให้อาชีพเหล่านี้มักจะได้รับความนิยมในกลุ่มแรงงาน Gen Y, Gen Z, ที่เป็นแรงงานหลักในปัจจุบันมากกว่างานโรงแรม ผลพวงจากความไม่ใช่อาชีพในฝันเพราะต้องทำงานหนักทำให้ความสนใจเข้าสู่อุตสาหกรรมคนกลุ่มนี้ลดน้อยลงแม้แต่นักเรียนนักศึกษาที่เรียนสาขาการโรงแรมเมื่อจบมาก็อาจจะเลือกไม่เข้าสู่อุตสาหกรรมฯ เพราะมีช่องทางในการหาอาชีพมากขึ้นในปัจจุบัน มีตัวอย่างการทำเงินหลายวิธีการให้เลือกศึกษา แม้จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสำเร็จแต่ด้วย Personality ของ Gen นี้ที่อยากรู้อยากลองก็ไม่กลัวที่จะเริ่มต้นกับสิ่งเหล่านั้น
4. เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ก่อนหน้านี้มีหลายชุดความคิดเชื่อว่าอุตสาหกรรมที่ต้องเป็น Human Touch อย่างโรงแรม ไม่สามารถนำเทคโนโลยีอะไรเข้ามาใช้ได้มากนักเพราะ “แขกต้องการสัมผัสกับการให้บริการโดยมนุษย์มากกว่า” อันนี้เป็นชุดความคิดที่เป็นจริงและไม่ผิดไปจากนี้ เพียงแต่เมื่อเราร้อยเรียงวิกฤตการขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมโรงแรมที่กำลังจะเกิดขึ้น กับแนวโน้มทั้ง 3 ข้อที่ผ่านมา เมื่อแก้ปัญหาที่ตัวบุคคลไม่ได้เทคโนโลยีคือสิ่งที่จะเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหานี้ในที่สุด อาจจะไม่ได้เข้ามาด้วยความเต็มใจและอยากจะเลือกของผู้ประกอบการแต่เมื่อธุรกิจต้องเดินไปข้างหน้าการปล่อยให้ปัญหาขาดแคลนแรงงานมีอยู่ต่อไปย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีนักที่จะให้เกิดขึ้น ดังนั้นเทคโนโลยีต่างๆ จะถูกนำมาใช้มากขึ้นพร้อมกับการปรับข้อกฎหมายให้เอื้อต่อการใช้ที่จะมาพร้อมๆ กัน เช่น ระบบ Online Check In ที่ให้แขกเซ็น ร.ร.3 ได้โดยไม่ต้อง Print ออกมาเป็น Hard Copy เซ็นกันอีกทีตอนมาถึงโรงแรมและสามารถจัดเก็บไว้ในรูปแบบ Digital File โดยได้รับอนุญาตจากหน่วยงานราชการว่าเก็บได้เวลามาตรวจสอบก็แค่เปิดไฟล์ให้ดูไม่ต้องมีเป็นแผ่นกระดาษเหมือนในทุกวันนี้ หรือแม้แต่การส่ง ร.ร.4 ที่อาจจะมีการอนุญาตให้ส่งเป็น E-Filling ได้เหมือนกรณีของการส่งรายชื่อแขกต่างชาติให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.30) ซึ่งในปัจจุบันยังต้องไปส่งที่อำเภอหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังไม่นับรวมเทคโนโลยีอื่นๆ ที่จะเข้ามาช่วยลดปัญหาพนักงานขาดแคลน เช่น ระบบ IOT ต่างๆ ระบบ Robot ในบางเนื้องานที่เป็นงานประจำซ้ำๆ ใช้ทักษะไม่สูง ระบบ Keyless และ Mobile Key ที่ลดขั้นตอนการรอกุญแจและ Check In กับพนักงานไปได้ในตัว นี่คือตัวอย่างที่อาจจะเข้ามามีบทบาทเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในโรงแรมเริ่มรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องตลกร้ายสำหรับพนักงานโรงแรมที่ก่อนหน้านี้โดยเฉพาะในช่วง COVID-19 ซึ่งหลายๆ สำนัก หลายๆ องค์การ ต่างออกมาวิเคราะห์วิจารณ์ว่าเป็นอาชีพที่ “เสี่ยงจะถูกเลิกจ้างมากที่สุด” หรือไม่ก็ “เป็นอาชีพดาวร่วงแห่งปี” เพราะจากวันนั้นที่เราประสบเคราะห์กรรมโดนเลิกจ้าง โดนลดเงินเดือน ตกงานเป็นเดือนๆ ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด วันนี้กลับกลายมาเป็นหลายโรงแรมกำลังประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน การหาพนักงานที่ต้องการไม่ได้เพราะโลกปรับให้แรงงานต้องมีทักษะอื่นๆ ควบคู่กับทักษะงานบริการไปด้วย การเรียกค่าตัวที่สูงขึ้นสำหรับแรงงานทักษะสูง ในหลายพื้นที่แล้วและแม้จะ Offer ดีขนาดไหนบางทีก็ไม่ได้รับประกันว่าจะทำให้ “ได้คนที่ต้องการ” หรือแม้แต่ได้คนที่ต้องการมาแล้วก็ยังไม่แน่ใจว่าจะ “อยู่นาน” หรือเปล่า
หลายที่ก็ยังคงต้องหาพนักงานกันต่อไป แน่นอนว่าปัญหาการขาดแคลนแรงงานมุมหนึ่งไม่ได้เกิดมาแค่จากแรงงานในตลาดมีไม่เพียงพอแต่สิ่งที่มีเพิ่มขึ้นมานั่นคือ “ความคาดหวังของนายจ้าง” ที่ต้องการแรงงานทักษะที่สูงขึ้นตามเนื้องานและโลกธุรกิจที่เปลี่ยนไปมากขึ้นด้วยเช่นกัน สุดท้ายแล้วอย่างหนึ่งที่เราพอจะยึดมั่นได้คือ “ความไม่แน่นอนไม่มีอยู่จริงในโลกใบนี้”
ถ้าว่ากันตาม Iceberg Theory ส่วนที่โผล่พ้นน้ำตอนนี้คงเป็นอุปสรรคต่างๆ ที่เรามองเห็นจากการเร่งพลิกฟื้นการท่องเที่ยวซึ่งเราอาจจะหาวิธีหลบหลีกมันไปได้บ้างโดยมีเรือที่กำลังแล่นไปข้างหน้าซึ่งเปรียบเสมือนการเร่งขยายธุรกิจของกลุ่มทุนต่างๆ แต่ส่วนที่จมอยู่และกำลังจะเป็นปัญหาที่เรืออาจจะพุ่งชนก็คงเป็นการขาดแคลนแรงงานที่ถ้าไม่เร่งแก้เสียแต่เนิ่นๆ อาจทำให้การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมโรงแรมสะดุดอีกครั้งก็เป็นได้
N. Kamolpollapat - Hotel Man
7 July 2022

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2565

Cryptocurrency แก้ปัญหานักท่องเที่ยวรัสเซียใช้จ่ายในไทยไม่ได้?

 Cryptocurrency แก้ปัญหานักท่องเที่ยวรัสเซียใช้จ่ายในไทยไม่ได้?





ทันทีที่รัสเซียถูกถอดออกจากระบบ SWIF (Society for Worldwide Financial Interbank Telecommunication) ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินระดับโลก ที่ครอบคลุมสถาบันการเงิน 11,000 แห่งจาก 200 ประเทศทั่วโลก ผลกระทบที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากภาคการเงินการธนาคาร ระบบเศรษฐกิจและประเทศคู่ค้าของรัสเซียแล้ว ประชาชนชาวรัสเซียย่อมได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกันทั้งในรัสเซียเองและชาวรัสเซียในต่างประเทศ สำหรับประเทศไทยนั้นแม้รัสเซียอาจไม่ได้เป็นคู่ค้าหลักของเราแต่ในส่วนของการโรงแรมและการท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวรัสเซียถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นกลุ่มที่เข้ามาพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยวของไทย

ข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ระบุว่า นักท่องเที่ยวรัสเซียถือเป็นกลุ่มหลักที่เดินทางมาประเทศไทย โดยในปี 2013 หรือ 2556 มีนักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางเข้ามาประเทศไทยมากที่สุด จำนวน 1.7 ล้านคน ในปี 2019 หรือ 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนวิกฤตโควิด มีนักท่องเที่ยวรัสเซีย จำนวน 1.48 ล้านคน คิดเป็นรายได้โดยประมาณ 96,200 ล้านบาทและนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นมา มีนักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางเข้าประเทศไทยสะสมมากเป็นอันดับ 1 จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยทั้งหมด (พ.ย. 64-28 ก.พ. 65) จำนวน 63,249 ราย (ข้อมูลจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, Thailand Pass) คิดเป็นรายได้ 4,100 ล้านบาท โดยประมาณ ในด้านค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวรัสเซียจากสถิติปี 2019 นักท่องเที่ยวรัสเซียใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวัน 4,099 บาท และอัตราการพำนักเฉลี่ยที่ 16 วัน คิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อทริปประมาณ 65,000 บาทต่อคนถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูงที่ผู้ประกอบการโรงแรมและการท่องเที่ยวให้ความสนใจมาโดยตลอด

แต่จากผลของการประกาศยกเลิกเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมดของสายการบิน Aeroflot ของรัสเซีย (ไทยเรามีเส้นทางบินตรงจากมอสโกสู่ภูเก็ตด้วยเช่นกันโดยมีมากถึงสัปดาห์ละ 4 เที่ยวบินในช่วงฤดูหนาว) ร่วมกับการถูกจำกัดการทำธุรกรรมทางการเงินจากการถูกถอดออกจากระบบ SWIF ทำให้นักท่องเที่ยวรัสเซียประสบปัญหาในการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ทั้งคนที่อยู่ในระหว่างตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว คนที่กำลังท่องเที่ยวและคนที่อยู่ในเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วโลก สำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ณ ปัจจุบันนี้ปัญหาของการถูกจำกัดการทำธุรกรรมของนักท่องเที่ยวรัสเซียเริ่มแสดงออกและส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยวของไทยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตแล้ว ซึ่งจากข้อมูลจากสถิติด่านตรวจคนเข้าเมือง ณ​ ท่าอากาศยานภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 64 - 4 มี.ค. 65 มีนักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางเข้าภูเก็ตมากเป็นอันดับหนึ่งโดยมีจำนวนถึง 54,774 คน แต่ ณ ปัจจุบันนี้นักท่องเที่ยวรัสเซียเริ่มประสบปัญหาในด้านชำระเงิน โดยนักท่องเที่ยวไม่สามารถใช้บัตรเครดิตชำระค่าห้องพัก ค่าอาหารและเครื่องดื่ม หรือ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวได้ตามปกติเพราะสถาบันการเงินของรัสเซียถูก Sanction

ในด้านของผู้ประกอบการโรงแรมและการท่องเที่ยว นี่คืออีกโจทย์ความท้าทายใหม่หลังจากที่เพิ่งประสบกับปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 มาหมาดๆ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ผู้ประกอบการทำได้ในส่วนของธุรกิจโรงแรมคงเป็นเรื่องของการให้นักท่องเที่ยวทั้งแบบ F.I.T และ นักท่องเที่ยวที่จองผ่าน Travel Agency ทำการ “ชำระเงินล่วงหน้า” ก่อนเดินทางเข้าพัก แต่นั่นคือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีมาตรการคว่ำบาตรด้านการเงินอะไรออกมาและส่งผลกระทบต่อชาวรัสเซียอีก ในระยะยาวปัญหานี้น่าจะต้องใช้วิธีการแก้ไขปัญหาที่เป็นไปอย่างยั่งยืนมากยิ่งขึ้นเพราะเมื่อมีข้อจำกัดในการใช้จ่าย ต้นทุนการท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้น ความสามารถในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยก็จะลดลงไปจนทำให้ไม่สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ตามปกติไปด้วย

แล้วเราจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?

เรื่องนี้เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า “หัวใจหลัก” ของปัญหานี้คือการที่ “นักท่องเที่ยวไม่สามารถใช้จ่ายได้ตามปกติ” ดังนั้นวิธีการแก้ไขคือ “ต้องทำให้นักท่องเที่ยวกลับมาใช้จ่ายได้อย่างปกติอีกครั้ง” แต่จะทำอย่างไรในเมื่อระบบการเงินของรัสเซียถูก Sanction อย่างหนัก หนึ่งในแนวคิดที่น่าสนใจคือการใช้ “Cryptocurrency” ในการชำระค่าโรงแรม ค่าที่พัก ค่าอาหารและค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวอื่นๆ

ด้วยความที่ Cryptocurrency มีจุดขายในด้านความเป็น Decentralization คือ “การไม่ยึดติดกับความเป็นศูนย์กลางที่มีผู้ควบคุม” (อาจจะไม่ทุกเหรียญเพราะบางเหรียญก็ยังมีความเป็น Centralization) ทำให้ลดความเสี่ยงในการถูก Sanction ไปได้ (ยกเว้นการ Sanction เจ้าของเหรียญและ Exchange ต่างๆ จากหน่วยงานที่มีอำนาจ) อย่างกรณีของ Binance หนึ่งใน Exchange ที่มีมูลค่าการ Trade มากที่สุดในโลกที่ออกมาประกาศชัดเจนถึงการยึดหลัก “Decentralization” ในโลกของ Cryptocurrency โดยจะไม่ทำการ “ปิดบัญชีผู้ใช้งานในประเทศรัสเซียทั้งหมด” โดยบริษัทประกาศในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ว่า “บริษัทจะปิดบัญชีของคนรัสเซียเฉพาะชื่อที่โดนคว่ำบาตรและจะไม่แบนบัญชีของผู้ใช้งานทั้งประเทศในรัสเซียโดยไร้เหตุผล” นี่อาจจะเป็นโอกาสในการใช้ทางเลือกใหม่ในการชำระเงินของนักท่องเที่ยวรัสเซียก็เป็นได้ เพราะแม้ก่อนหน้านี้รัสเซียเคยประกาศระงับการใช้งานคริปโทฯ ในประเทศ รวมถึงไม่อนุญาตให้มีการทำเหมืองขุดในประเทศ แต่ล่าสุดได้มีความพยายามในเปลี่ยนแปลงเกณฑ์ดังกล่าวแล้วเพื่อให้รัสเซียมีเครื่องมือในการต่อสู้กับการถูกคว่ำบาตรด้านการเงิน อีกหนึ่งข้อมูลที่น่าสนใจคือรัสเซียเป็นประเทศขุด Bitcoin ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพลเมืองของประเทศถือ cryptocurrency มูลค่ากว่า 2.14 แสนล้านดอลลาร์ซึ่งประมาณ 12% ของมูลค่าสินทรัพย์ crypto ทั่วโลก (https://th.investing.com/news/cryptocurrency-news/article-68512) นี่คืออีกหนึ่ง “โอกาส” หากภาคการท่องเที่ยวของไทยเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมในกรณีที่รัสเซียปรับให้การใช้ Cryptocurrency เป็นสิ่งที่ชาวรัสเซียสามารถทำได้” แทนการใช้เงินรูเบิลที่ปัจจุบันมีการลดลงของมูลค่าเรื่อยๆ

1. กรณีนี้เพื่อรักษาความได้เปรียบและหาแนวทางในการรับมือกับปัญหาการไม่สามารถใช้จ่ายได้ตามปกติของนักท่องเที่ยวรัสเซียหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจต้องหันมาพิจารณาและทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวและหน่วยงานด้านการกำกับดูแลกิจการด้านการเงินของไทย รวมทั้งหน่วยงานที่ควบคุมดูแลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพราะนี่อาจเป็นอีกหนึ่งทางออกของปัญหาด้าน “การไม่สามารถใช้จ่ายได้” ของนักท่องเที่ยวรัสเซีย “ถ้าไทยทำได้ก่อนย่อมได้เปรียบคู่แข่งอย่งประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ” โดยแนวทางในการแก้ไขปัญหานี้อาจเป็นไปในลักษณะคือ

การเลือกเฉพาะเหรียญ Cryptocurrency ที่ได้รับความน่าเชื่อถือในระดับโลก ผ่านการ Audit จากองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น Certik หรือ Fairyproof และเปิดให้นักท่องเที่ยวรัสเซียสามารถนำมาใช้จ่ายในการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้ ทั้ง ชำระค่าห้องพัก ค่าอาหาร เครื่องดื่ม ฯลฯ โดยในส่วนของผู้ประกอบการอาจมีการให้ความรู้ความเข้าใจและการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาเหรียญโดยหน่วยงานรัฐ ร่วมกับภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่าง ธปท. กลต. เป็นต้น ซึ่งเหรียญหลักๆ ที่สามารถนำมาใช้งานได้ เช่น BTC ETH USDT USDC BUSD BNB ซึ่งเป็นเหรียญสากลที่รู้จักกันดีในระดับโลก แม้จะมีปัจจัยด้านการบริหารจัดการราคาเหรียญที่มีพฤติกรรม “ขึ้นลง” แบบน่าหวาดเสียว แต่เราอาจต้องเทียบข้อดีข้อเสียของการยึดติดกับระบบเก่ากับการปรับเข้าหาระบบใหม่ว่าอันไหนคุ้มค่ากว่ากันเพื่อใช้เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหานี้เพราะแม้ตอนนี้สถานการณ์นี้แม้จะเพิ่งเกิดในภูเก็ตแต่หากเป็นแบบนี้เรื่อยๆ ปัญหาอาจขยายวงกว้างไปยังพื้นที่อื่นๆ ได้

2. การออกเหรียญ Token สำหรับท่องเที่ยว โดยการเสนอขาย Token ล่วงหน้าให้กับนักท่องเที่ยวรัสเซียได้ซื้อไว้เป็น Credit ก่อนนำมาใช้ในกิจกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยต้องมีการวางแผนสื่อสารและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับรายละเอียดของ Token ให้กับนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียได้ทราบโดยชัดเจน วิธีนี้จะทำให้นักท่องเที่ยวรัสเซียสามารถวางแผนการท่องเที่ยวได้ล่วงหน้าและลดความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวลง เนื่องจากนักท่องเที่ยวต้องทำการซื้อ Token ก่อนนำมาใช้ในประเทศไทย ความมั่นใจของนักท่องเที่ยวรัสเซียคือ “การใช้จ่ายต่างๆ ในประเทศไทยจะไม่มีอุปสรรค” สำหรับผู้ประกอบการเองก็มั่นได้ว่าจะได้รับชำระเงินอย่างแน่นอนเพราะเหรียญ “Token สามารถนำไปแลกกลับเป็นเงินสดได้” ซึ่งระบบการออก Token นี้อาจมีหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวเป็นเจ้าภาพและดำเนินการร่วมกับหน่วยงานด้านการเงินเพื่อควบคุมปริมาณ Supply ของ Token นอกจากนี้ควรเพิ่ม Demand ของ Token ที่จะออกมาด้วยการอนุญาตให้สามารถนำ Token ไปเสนอขายใน Exchange ได้ด้วย ด้านของผู้ประกอบการก็ต้องมีการเรียนรู้ระบบการ Redeem เหรียญเป็นเงินสด เป็นต้น

แต่ความท้าทายต่อจากนี้คือกฎระเบียบของภาครัฐที่ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงของการพิจารณาในประเด็นที่มีการ “ห้ามนำ Cryptocurrency มาชำระค่าสินค้าและบริการ” ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการปรับปรุงกฎระเบียบกันอยู่ แต่หากมองอีกมุมหนึ่งนี่อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะถือเป็น “Sandbox และเป็น ต้นแบบ” ในการทดลองการนำ Cryptocurrency มาใช้งานจริง เพื่อให้ประเทศสามารถเข้าสู่ผลประโยชน์ในเศรษฐกิจในอนาคตที่ Cryptocurrency จะก้าวขึ้นมามีบทบาทที่สำคัญได้

#hotelman #hotelmantravel #hotelblogger #hotelbusiness #hoteljob #hotelnews #hotelcryptocurrency

วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

 เมื่อ Social Sanction ส่วนบุคคล มีผลต่อชีวิตนอกเวลางาน


จากรณีศึกษาเกี่ยวกับพนักงานโรงแรมคนหนึ่งได้กระทำกิริยาไม่เหมาะสมต่อผู้หญิงจนถึงขั้นแจ้งความดำเนินคดีกันไป ถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้วนี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรกระทำอย่างยิ่งแต่ก็ไม่รู้ว่า ณ เวลานั้นเขาคิดอะไรถึงได้ทำการแบบนั้นลงไป? แน่นอนว่าหลังจากที่ได้เกิดกระแสสังคมต่อการกระทำที่ไม่เหมาะสมนี้ขึ้นซึ่งแม้ว่าจะเป็นการกระทำนอกเวลางานซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในโรงแรมและเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลายเป็นวิกฤตชีวิตของพนักงานคนนี้ไปทันที เนื่องจากกระแสสังคมได้ตัดสินและลงโทษเขาไปเรียบร้อยแล้วจาก Comment มากมายในโลก Social ต่อพฤติกรรมของเขาที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนจาก Clip ที่ได้รับการเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว กระแสความไม่พอใจ การด่าทอ เกิดขึ้นอย่างมากมายและจุดหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดการคือในช่วงเวลาต่อมา Social Sanction ที่เกิดขึ้นกับเขามันลามไปยังองค์กรที่เป็นต้นสังกัดอย่างโรงแรมของพนักงานคนนี้ มีการเข้าไป Comment ต่างๆ นาๆ ใน Official Page ของโรงแรมแห่งแรกที่ชาวเน็ตคาดการณ์ว่าเป็นที่ทำงานของเขาจนโรงแรมต้องรีบออกมาชี้แจงว่าพนักงานท่านนี้ได้ลาออกจากการทำงานจากที่นี่ไปแล้วและไม่ได้เป็นพนักงานของที่นี่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าแม้จะมีการชี้แจงก็จริงแต่กระแสที่หลั่งไหลเข้าไปใน Comment ที่เราคุ้นชื่อกันดีว่า “ทัวร์ลง” ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของโรงแรมนั้นอยู่พอสมควร
เมื่อโรงแรมแรกปฏิเสธความเป็นต้นสังกัดของเขาไปแล้วการดำเนินการ “ขุด” หาต้นสังกัดปัจจุบันจึงเกิดขึ้นและด้วยธรรมชาติของชาว Netizen ไทยถ้าจะสืบอะไรย่อมไม่แพ้ชาติใดในโลกหวยเลยมาออกเข้าสู่โรงแรมที่สองซึ่งเป็นต้นสังกัดปัจจุบันซึ่งเมื่อรู้ต้นสังกัดของพนักงานคนนี้กระแสสังคมจึงไหลมาที่โรงแรมต้นสังกัดในเชิงกดดันถึง “การลงโทษต่อความผิดครั้งนี้ของพนักงานของโรงแรม” ซึ่ง Comment ส่วนใหญ่เป็นไปในทาง Negative มีการเชื่อมโยงไปถึงตัวของโรงแรมในด้านมาตรฐานการฝึกอบรมพนักงานและข้อสังเกตต่างๆ จนเกิดเป็น Social Media Crisis ขึ้นกับตัวโรงแรมและสุดท้ายโรงแรมจึงต้องออกมาประกาศเลิกจ้างพนักงานคนดังกล่าวในที่สุด ภายใตัเหตุผลในการเลิกจ้างเกี่ยวกับความผิดที่พนักงานคนนี้ได้กระทำซึ่งส่งผลให้โรงแรมได้รับผลกระทบไปด้วย
ในส่วนตัวของผู้ก่อเหตุนี่จะเป็นบทเรียนราคาแพงในการดำเนินชีวิตของเขาให้ได้จดจำและไม่กระทำการแบบนี้อีกเพราะ “ราคาที่ต้องจ่าย”​ จากเหตุการณ์ครั้งนี้มันน่าจะสูงเกิดกว่าที่เขาคาดไว้ ทั้งกระแสสังคมที่ไม่พอใจ การเป็นคดีความ ตกงานขาดรายได้ ไหนจะปัญหาสภาพจิตใจ อีก ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบเพียงเท่านั้นเอง หากวันนั้นเขาเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น ณ วันนี้เชื่อว่าเขาก็ยังคงใช้ชีวิตได้ตามปกติเช่นเคย
วิเคราะห์เหตุการณ์จากกรณีศึกษานี้: เราคงไม่พูดถึงการตัดสินและผลของการกระทำผิดของพนักงานคนนี้เพราะเชื่อว่าเขาน่าจะได้รับไปแล้วจากอารมณ์ชั่ววูบของเขาและเขาควรจะต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดราคาแพงในสิ่งที่เขาไม่ควรทำนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรจะนำมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อหาทางป้องกันปัญหานี้คือ
ประเด็นแรก: ความรุนแรงของ Social Sanction คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าในปัจจุบันสื่อ Social Media มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจและการใช้ชีวิตของพวกเรา โรงแรมอาจจำเป็นต้องบรรจุกรณีนี้เข้าไปในการจัดทำแผน Worse Case Scenarion ว่า “หากโรงแรมต้องได้รับผลกระทบจากมาตรการ Social Sanction ที่เกิดกับโรงแรมเองหรือการกระทำบุคคลากรของโรงแรมทั้งในและนอกเวลางาน กรณีนี้จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร?” เพราะอย่างที่รู้ว่าขอบเขตความไม่พอใจของมาตรการ Social Sanction นั้นมันสามารถลุกลามได้เป็นวงกว้างในระยะเวลาอันรวดเร็วและส่งผลต่อภาพลักษณ์ของโรงแรมในโลกออนไลน์ได้ แน่นอนว่าในเวลางานพนักงานมีหน้าที่ต้องปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายและไม่ทำให้โรงแรมเสียหาย แต่นอกเวลางานนั้นถือเป็นเวลาส่วนตัวการกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นโรงแรม ควรหรือไม่ควร ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย? ขอบเขตการรับผิดชอบอยู่แค่ไหน? และมันควรส่งผลต่อหน้าที่การงานหรือไม่? เพื่อความชัดเจนและเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินใจของโรงแรม อีกประเด็นหนึ่งคือถ้าพนักงานต้องรับผิดชอบแม้จะนอกเหนือเวลางานก็ตาม “นั่นถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลในเวลาส่วนตัวของพนักงานหรือไม่? ในการต้องรักษาผลประโยชน์ของโรงแรมตลอดเวลาแม้จะนอกเวลาทำงานก็ตาม?” นี่คือสิ่งที่ต้องวางแผนบริหารจัดการกันต่อไปเพื่อให้ได้ทางออกที่สมเหตุสมผลทั้งสองฝ่ายทั้งโรงแรมและพนักงาน การรักษาความสมดุลในการบริหารจัดการเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน
ประเด็นที่สอง: เป็นสิ่งที่เริ่มมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการเลิกจ้างพนักงานคนนี้ของโรงแรมว่า “เป็นการทำเกินกว่าเหตุหรือไม่?” สาเหตุที่เกิดข้อสังเกตเกี่ยวกับประเด็นนี้เนื่องจาก สิ่งที่พนักงานคนนี้ทำถือว่าเป็นการกระทำส่วนตัวโรงแรมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและที่สำคัญ “มันเป็นการกระทำที่อยู่นอกเหนือเวลาการทำงาน” การเลิกจ้างพนักงานคนนี้จะถือว่าโรงแรมทำเกินกว่าเหตุหรือเป็นการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมหรือเปล่า? ตรงนี้คือสิ่งที่ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกตและหาเหตุผลเกี่ยวกับการเลิกจ้างครั้งนี้ว่าไม่เป็นธรรมยกมาเป็นประเด็น แต่ในขณะเดียวกันหากมองในมุมของนายจ้างกรณีนี้เป็นไปได้ว่าการที่โรงแรมเลือกตัดสินใจเลิกจ้างนี้ โรงแรมก็น่าจะเช็คในข้อกฎหมายแรงงานมาแล้วเป็นอย่างดีเพราะคงไม่มีใครชอบที่จะไปขึ้นศาลแรงงานดังนั้นการตัดสินใจจึงน่าจะกลั่นกรองมาแล้วว่า “อยู่ในขอบเขตที่ทำได้ไม่ผิดกฎหมาย” สาเหตุของการเลิกจ้างที่โรงแรมอาจมองว่าเป็นเหตุเป็นผลคงเป็นเรื่องของ “การทำให้โรงแรมเสื่อมเสียชื่อเสียงซึ่งนับเป็นการสร้างความเสียหายให้กับนายจ้างอย่างหนึ่ง” ซึ่งเอาจริงๆ แม้จะไม่ได้เป็น “ความผิดพลาดจากการปฏิบัติงานก็จริงแต่การกระทำที่นำมาซึ่ง Social Sanction ที่ไม่พอใจพนักงานแล้วพากันมาลงที่โรงแรมตรงนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ตัดสินใจเลิกจ้างในที่สุด” ณ ตอนนี้เลยกลายเป็นอีกกรณีศึกษาหนึ่งที่สำคัญของโรงแรมและอาจจะธุรกิจอื่นๆ ว่า “ถ้าเกิดกรณีพนักงานที่อยู่นอกเวลางานแต่กระทำผิดจนทำให้โรงแรมเสื่อมเสียชื่อเสียง กรณีนี้ถือว่าสามารถทำการเลิกจ้างโดยไม่ผิดกฎหมายแรงงานได้หรือไม่? เพราะไม่ได้เป็นการกระทำในระหว่างปฏิบัติงานและถือเป็นเรื่องส่วนตัวของพนักงานที่ต้องรับผิดชอบ”
เชื่อว่านี่คงจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่โรงแรมต้องปรับตัวเพราะการเล่นกับกระแสสังคมถือเป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะเมื่อมีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของโรงแรมมาเป็นเดิมพัน ในหลายๆ ครั้งเรามักจะเห็นกันอยู่ว่า Social Sanction มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ด้านบวกคือถ้าเป็นกระแสสังคมที่กดดันให้สังคมดีขึ้นบนพื้นฐานของความเป็นจริงอันนี้ก็ดีไป แต่ถ้าเป็นสิ่งที่กลับกันอันนี้คือโจทย์ตัวใหญ่ที่เราต้องหาทางรับมือด้วยเช่นกัน
เคสนี้น่าสนใจว่า “ถ้าพนักงานคนนี้ก่อเหตุกระทำความผิดแบบนี้แต่โรงแรมไม่ได้รับผลกระทบหรือที่เราเรียกกันเล่นๆ ว่า “ทัวร์ลง” ไปที่เพจของโรงแรม ไม่มี Social Sanction พนักงานคนนี้ไปกดดันโรงแรมเพียงแต่ลงไปเฉพาะตัวคนที่กระทำความผิดเพียงอย่างเดียว โรงแรมจะแก้ไขปัญหาและจัดการอย่างไร?
ในมุมของพนักงาน ณ ตอนนี้ก็คงต้องระมัดระวังตัวกันมากขึ้นในการปฏิบัติตัวแม้จะอยู่นอกเวลางานว่าต้องไม่ส่งผลทำให้เกิดความเสียหายกับชื่อเสียงของโรงแรมและในมุมของโรงแรมก็ต้องกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลในเวลาส่วนตัวของพนักงานด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจจะกลายมาเป็นอีกรายละเอียดหนึ่งในการเซ็นสัญญาจ้างงานในอนาคตก็ได้ นอกจากนี้ในส่วนของโรงแรมก็ต้องวางแผนการล่วงหน้าในการแก้ไขกรณีโรงแรมได้รับผลกระทบจากการกระทำของบุคคลากรนอกเวลางานด้วยเช่นกันเพราะไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวเอง
ส่วนตัวเฮียอยากชวนมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันครับว่ากรณีนี้เรามองยังไงกันบ้าง? เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะและหาแนวทางป้องกันเคสในลักษณะนี้กันครับ

บทความแนะนำ