เรืองเล่าก่อนนอน Part III
ออกจากพี่เดชมา ผมก็ตรงมาที่ Office แล้วก็จัดการเคลียร์งานที่ต่อรอบกับเพื่อนรอบบ่ายไว้ว่ามีอะไรบ้างแล้วก็ปกติของชาวรอบดึกนั่นแหละครับที่ “เสียงเพลง” คืออีกหนึ่งเพื่อนร่วมงานชั้นดีที่เราคุ้นเคย ระหว่างทำงานผมก็เปิดเพลงในมือถือไป นั่งอ่าน Log Book ไป ไล่ไปจนหมด สักพักผมก็มานั่งเล่นเน็ตซึ่งก็อีกกิจกรรมยามว่างของรอบดึกที่เรารู้กันนะครับ
ผมท่องโลกออนไลน์ไปเรื่อยๆ แล้วมีแว้บนึงที่ผมเข้า youtube แล้วมีภาพของเหตุการณ์สึนามิที่เพิ่งผ่านไปซึ่งมีคนนำมาลง ด้วยความที่บาดแผลในจิตใจของผมก็ยังมีอยู่กับช่วงเวลานั้นผมเลยอดใจไม่ได้ที่จะเข้าไปดูซึ่งคลิปที่ผมเข้าไปดูทำให้ผมนั้นทำให้ผมรู้สึกตกใจ เศร้าและหดหู่อย่างมากครับ มันเป็นภาพของคลื่นที่ซัดผู้คนหายจมไปกับท้องทะเล มีภาพของเกลียวคลื่นที่ซัดเข้าหาสิ่งปลูกสร้างริมชายหาดจนราบเป็นหน้ากลอง แม้ในยุคนั้นคุณภาพของ VDO จะไม่ได้ดีคมชัดระดับ 4K เหมือนปัจจุบันแต่คนที่เคยมีอดีตกับเรื่องนี้ต่อให้มีแค่เสียงมันก็รับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นครับ
ผมนั่งดูคลิปไปเรื่อยๆ แล้วอยู่ๆ เพลงที่ผมเปิดฟังในมือถือมันก็หยุดลงโดยที่ผมยังไม่ได้ไปทำอะไรกับมันเลยครับ แต่ตอนนั้นผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรก็กะว่ามันคงเป็นที่ระบบมือถือแน่ๆ แต่พอหยิบมาดูปรากฎว่าตัวเล่นเพลงของผมมันเหมือนักบ “ถูกกฎ Pause เอาไว้” เหมือนเวลาเราฟังเพลงแล้วมีคนมาคุยด้วยแล้วเรากดหยุดชั่วคราวนั่นแหละครับ ช่วงจังหวะที่ผมนิ่งไปหัวมันมีแว้บไปคิดถึงเรื่องที่พี่เดชบอกว่า “มึงอย่าลงมาที่ครัวตอนตี 3 นะ” ด้วยความสงสัยแบบเอาจริงๆ ก็มีคิดนิดๆ ว่า “หรือว่าในครัวจะมี...” แต่ก็ยังชั่งใจอยู่ว่าจะเชื่อเรื่องแบบนี้ดีไหม? มีความคิดอกุศลอีกอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาว่า “หรือพี่เดชแกจะแอบมาขโมยของออกไปตอนนั้นเลยห้ามเราไป” คิดมั่วซั่วไปหมดครับตอนนั้น แต่ส่วนตัวผมตัดสินจแล้วว่า “เดี๋ยวกูจะลงไปดูตอนตี 3” เพราะขัดใจว่า “จะห้ามอะไรกันนักกันหนาวะ” แล้วผมก็นั่งรอเวลาใน Office ต่อไป แต่ในขณะที่ผมกำลังยืนกดมือถือและพิงผนังอยู่ปรากฎว่าอยู่ๆ “ไฟในห้องก็ดับลงดื้อๆ เลยครับ” ผมตกใจมากว่าเกิดอะไรขึ้น พอตั้งสติได้ผมค่อยๆ หันหลังไปคลำสวิตช์ไฟปรากฎว่า............ “ตอนผมพิงผนังหลังผมมันไปโดนสวิตช์ไฟเข้าไฟเลยดับ” Ok เรื่องนี้ผ่านไปแบบตกใจนิดๆ
ผมรอเวลาจนถึงช่วงตี 3 ช่วงที่พี่เดชแกสั่งห้ามนักห้ามหนาว่าอย่าลงมาแต่ผมตั้งใจแล้วว่า “กูจะไป” แล้วก็จัดการเอาวิทยุสื่อสาร (ว.) มาด้วยเผื่อ Front รอบดึกติดต่อมากรณีแขกสั่งอาหาร ผมค่อยๆ เดินมาตามทางที่มาห้องครัวบรรยากาศตอนนั้นถึงแม้มันจะมีแสงสว่างแต่ด้วยความที่ระหว่างทางมันต้องหลายห้อง หลายประตู มันเลยดูวังเวงๆ นิดๆ เพื่อเอาจริงๆ ก็มีแอบคิดว่า “จะมีใครเปิดประตูมาไหมวะ” แต่ห้องต่างๆ ที่ว่ามานั้นเทียบแล้วบรรยากาศยังไม่น่าวังเวลเท่ากับการที่ผมต้องเดินผ่าน Staff Canteen ซึ่งเป็นห้องกระจกแล้วลองนึภาพว่าในห้องกระจกมีโต๊ะเก้าอี้นั่งทานข้าวเยอะๆ ไฟมืดๆ และโดยสัญชาตญาณคนเรามันก็อดมองไปไม่ได้จริงๆ ครับมีแว้บนึงผมมองเข้าไปมันรู้สึกวังเวงๆ เหมือนกันผมเลยหยุดมองและหันหน้ากลับมาแต่เชื่อมั้ยครับสัญชาตญาณคนเรา “เวลามีคนมองมันจะรู้สึกครับ” ปรากฎว่าในขณะที่ผมกำลังเดินผ่าน Staff Canteen นั้นผมรู้สึกเหมือนมีคนกำลังมองตามผมอยู่ สักพักขนผมลุกโดยไม่รู้ตัวครับ ซึ่งเป็นอาการที่ผมเข้าใจเลยว่าเวลาที่คนเค้าพูดกันว่า “ขนหัวลุกมันเป็นยังไง” แต่ผมก็ไม่ได้สนใจก็เดินไปที่ครัวต่อ
จนไปถึงหน้าห้องครัว สภาพตอนนั้นคือมีไฟเปิดอยู่บางดวงให้แสงสว่างสลัวๆ อุปกรณ์เครื่องครัวถูกจัดวางตามปกติแสงไฟที่มีอยู่ตอนนั้นทำให้บางส่วนของห้องส่องสว่างแต่บางส่วนของห้องก็มืดสลัวๆ ผมพยายามมองหาพี่เดชเพราะอย่างที่บอกตอนแรกว่าผมกะจะมาแกล้งแกว่าแกแอบมานอนหรือเปล่าแต่พยายามมองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอพี่เดช สายตาผมเริ่มสอดส่ายมองเข้าไปในห้องครัวอย่างละเอียดมากขึ้นทีละส่วนทีละส่วนก็ไม่มีอะไร ผมยืนดูแบบนั้นอยู่เกือบ 10 นาทีก็ไม่มีเจอพี่เดชและไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นครับ เลยตั้งใจว่า “กลับดีกว่าไม่เห็นมีอะไรเลย” แล้วตั้งใจว่าจะเดินไปหาพี่เดชที่ Office
ตอนที่ผมหันหลังกลับมันมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นครับคืออยู่ๆ ผมได้ยินเสียงของอุปกรณ์กระทบกันประมาณว่าถ้ามาจากครัวก็เป็นลักษณะของ “ภาชนะเครื่องครัวกระทบกันครับ” แต่มันเป็นเสียงช่วงสั้นๆ ไม่ดังมากเท่าไหร่เป็นเสียง “แก้งๆ” สองครั้ง พอผมได้ยินตอนนั้นผมก็นึกไปว่า “พี่เดชแอบมาหาอะไรกินแน่ๆ” ผมเลยหันกลับไปมองอีกทีปรากฎว่า “มันไม่มีใครในห้องครัวเลยครับ” ผมก็ งง อยู่เหมือนกันเพราะมั่นใจว่าเสียงที่ได้ยินนั้น “ผมได้ยินมันจริงๆ” คราวนี้เริ่มเอะใจแต่ก็ยังไม่ได้คิดอะไรผมก็เดินออกจากครัวต่อไปยัง Office พี่เดช
ผมเดินมาถึงช่วงหัวมุมหนึ่งมันต้องผ่านห้องของ GM ก่อน ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะโดยปกติแล้วพนักงานอย่างเราๆ ไม่ค่อยมีใครอยากเข้าไปในส่วน Executive Office แบบนี้หรอกครับเพราะถ้าโดนเรียกก็มีสองอย่างแหละคือ “ทำดีจนเรียกไปชม กับ ทำตรงกันข้ามแล้วเรียกไปตำหนิ” ผมก็เลยเดินผ่านไป
แต่จังหวะที่กำลังหันหน้ามาเพื่อจะเดินต่อ สายตาของผมเหลือบไปเห็นแบบผ่านๆ ว่าผู้ชายคนหนึ่งครับกำลังเปิดประตูเข้าไปใน Office ของ GM คือแม้จะเป็นการเห็นแบบหางตาในจังหวะที่จะหันหน้าแต่ผมก็มั่นใจว่าผมเห็นคนกำลังเปิดประตูเข้าไปจริงๆ คือโรงแรมผม GM แกจะ In House อยู่ในโรงแรมผมก็เลยคิดไปว่า “แกลืมของอะไรหรือนึกอะไรได้ตอนดึกหรือเปล่าเลยลงมาเอา” แต่ตอนนั้นมันก็ตี 3 แล้วแกทำไมแกไม่รอให้มันเช้าก่อนนะ คือคิดไปอย่างก็มีความย้อนแย้งอีกอย่างเข้ามา ผมเลยตัดสินใจหันกลับมามองแบบเต็มตัวเพื่อให้รู้ว่าใครนะที่เข้าไป? ความรู้สึกที่ผมเห็นผู้ชายคนนั้นคือเหมือนเค้าเป็นคนต่างชาติไม่ใช่คนไทยกำลังเปิดประตูเข้าไปแต่ตอนผมหันหน้ามานั้นปรากฎว่า “ประตูมันปิดอยู่ครับ” ไม่ได้มีเสียงประตูเพิ่งปิดจากการที่เพิ่งมีคนเปิดเข้าไปเลยและลักษณะก็ปกติดี ผมชักเริ่มไม่แน่ใจว่าที่ผมเห็นนั้นมันจริงหรือเปล่าผมเลยตัดสินใจเดินไปที่ประตูห้อง GM แล้วกะว่าจะลองเปิดเข้าไปเลยกะว่าถ้าเจอใครก็ไม่เป็นไรเพราะเราเป็นพนักงานการดูแลความปลอดภัยของสถานที่ก็เป็นอีกอย่างที่เราทำได้ไม่ผิด
แต่ ณ ตอนนั้นมีอีกสิ่งหนึ่งที่สงสัยอยู่เหมือนกันเพราะจากความรู้สึกผมที่เห็นเป็นลักษณะของชาวต่างชาติที่เข้าไปซึ่งถ้าจะเป็น GM ตามที่ผมสันนิษฐานนั้น GM แกของผมเป็นคนไทยแต่ที่ผมเห็นเข้าไปในห้อง “น่าจะเป็นชาวต่างชาติ” แล้วมันจะเป็น GM ไปได้ยังไงที่เข้าไปในห้องนั้น??
เดินมาถึงหน้าห้องผมจัดการจับลูกบิดประตูแล้วเปิดเข้าไปปรากฎว่า...ลูกบิดมันล็อค...เข้าไม่ได้ครับ ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้กลัวและก็ไม่ได้แปลกใจอะไรเพราะมันน่าจะเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วว่าบางครั้ง GM มีธุระมีความลับอะไรเวลาเข้าห้องไปแล้วมีการล็อคบ้างมันก็เป็นเรื่องปกติแต่ที่ผมสงสัยคือ “แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่ามันมีคนเข้าไปในห้องนั้นจริงหรือเปล่า” ในระหว่างที่เริ่ม งงๆ นั้น ผมก็เลยคิดว่า “เดี๋ยวจะไปหาพี่เดช” จะลองไปเล่าให้แกฟังซะหน่อยกะว่าเดี๋ยวจะชวนกันมาดู ส่วนอีกข้อสันนิษฐานคือ “Room Boy” เข้าไปทำความสะอาดหรือเปล่า? แต่อันนี้ก็ไม่น่าจะใช่เพราะส่วนใหญ่ที่รู้กันเขาจะมาทำช่วงเช้ามืดเป็นหลัก คิดแบบนั้นแล้วผมก็หันหลังกลับมาแล้วเดินไปตามทางที่จะไป Office พี่เดชต่อกะว่าจะไปคุยเรื่องนี้ด้วย
ผมเดินมาเรื่อยๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันต้องผ่านส่วนของ Staff Canteen อีกครั้งครับ ซึ่งครั้งแรกที่ผ่านอย่างที่บอกว่าผมมีอาการ “ขนลุกไปทั้งตัวแบบไม่ทราบสาเหตุ” รอบนี้ในระหว่างที่ผมเดินผ่านมันไม่ได้มีอาการนี้ครับเพียงแต่รอบนี้ผมเลือกที่จะ “ไม่มอง” เข้าไปในห้องแล้วเดินผ่านไปเฉยๆ ระหว่างที่เดินผ่านไปได้ครึ่งห้องจนถึงผ่านประตูทางเข้า Canteen และกำลังจะเดินผ่านไป อยู่ๆ ผมได้ยินเสียงพูดตามหลังมาเบาๆ แบบไม่แน่ใจว่า “หูฝาดหรือเปล่า” เสียงแผ่วเบา แหบแห้งนั้นพูดว่า “หิว”.....
โปรดติดตามตอนต่อไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น