เรื่องเล่า นิยายก่อนนอน ตอนจบ
เมื่อผมได้ยินเสียงนั้นถ้าเป็นคนปกติแน่นอนว่าเราจะต้องเลือกที่จะหันหลังกลับไปตามต้นทางที่มาของเสียงแต่ปรากฎว่าตอนนั้นอะไรมันดลใจให้ผมเลือกที่จะหันหน้าเข้าไปมองใน Canteen แทนที่และทันทีที่สายตาของผมสอดส่องเข้าไปในห้องกระจกนั้นผมเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งสวม Uniform พนักงาน ที่น่าประหลาดใจคือ Uniform ที่เขาสวมนั้นมันเป็น Uniform เก่าซึ่งใช้ก่อนที่โรงแรมจะถูกคลื่นยักษ์สึนามิเข้าถล่ม
ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกกลัวมากครับ อาการเหมือนคนกำลังจะเป็นลม หูมันอื้อไม่ได้ยินอะไรและที่แทบทำผมช็อคคือผู้ชายที่ผมเห็นในห้อง Canteen ค่อยๆ หันมามองหน้าผมแล้วทำท่าเหมือนจะกวักมือเรียก สภาพผมตอนนี้เหมือนถูกสะกดจิตเพราะจะก้าวขาวิ่งก็ก้าวไม่ออก จะร้องให้คนช่วยก็ร้องไม่ได้ และเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอีกเหมือนเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดผู้ชายคนนั้นเริ่มค่อยๆ “เดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ” ผมในตอนนี้แทบจะไม่มีแรงยืนอีกต่อไป สภาพร่างกายตอนนั้นใกล้เคียงกับคำว่า “แทบล้มทั้งยืน” เพราะทำอะไรไม่ถูกจริงๆ แล้วจู่ๆ ด้านหลังผมเหมือนมีมือมาแตะที่ไหล่ ซึ่งไม่น่าจะใช่มือของชายคนที่อยู่ใน Canteen เพราะตอนนี้เค้าเพิ่งจะเริ่มก้าวเดินเข้ามาหาผมอย่างช้าๆ แล้วมือที่แตะไหล่นี้มันของใครนะ???
ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรก็มีเสียงเรียกกลับมา “เฮ้ย..มึงมาทำอะไร” พร้อมเขย่าตัวผม ทำให้ผมตื่นจากภวังค์และรู้สึกตัวก่อนรีบหันไปแล้วพบว่าที่มาของเสียงนั้นคือ “พี่เดช” ที่ตอนนี้ยืน งง ว่าผมมาทำอะไร แกเขย่าตัวผมอยู่สักพักผมที่เริ่มรู้สึกตัวก็บอกว่า “พี่เดช ผมว่าผมเจอหว่ะ” พี่เดชได้ยินก็ทำหน้า นิ่งไปพักนึงแล้วก็ถามผมมาว่า “มึงอย่าบอกกูนะว่ามึงลงไปที่ครัวมา” กูบอกแล้วไงว่าอย่าไป ผมที่ตอนนั้นเหมือนสติหลุดก็รีบพาพี่เดชเดินออกมาให้พ้นจากตรง Canteen มายืนอยู่มุมหนึ่งของทางเดินแล้วก็เร่ิมสาธยายเล่าเรื่องต่างๆ ให้แกฟังทั้งหมดทั้งเรื่องที่ได้ยินเสียงอุปกรณ์ในห้องครัว เรื่องฝรั่งที่เจอเข้าไปในห้อง GM และที่พลาดไม่ได้เรื่องใน Canteen
พี่เดชแกยืนฟังอย่างสงบ รอจนผมพูดจบแล้วแกก็พูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อมึงเจอขนาดนี้แล้วเดี๋ยวกูจะเล่าให้ฟังแล้วกัน” แกเริ่มเล่าตั้งแต่ห้องครัวก่อนเลยว่าที่ผมได้ยินเสียงทำครัวนั้นมันเป็นสาเหตุเดียวกับที่แกไม่อยากให้ผมลงมาตอนช่วงตี 3 เพราะเป็นเวลาที่เพื่อนแกซึ่งเสียชีวิตไปจากเหตุการณ์สึนามิชอบมาปรากฎตัวให้เห็นเหมือนยังเข้าใจว่าตัวเองต้องมาทำงานอยู่ ส่วนเรื่องของฝรั่งที่เจอนั้นเป็น GM คนเก่าที่เสียชีวิตไปจากการที่แกพยายามจะหนีออกมาตอนที่น้ำเริ่มพัดเข้ามาในโรงแรมแต่ออกมาไม่ทันเลยถูกน้ำพัดลงหายไปในทะเลส่วนสุดท้ายคือคนที่ผมเห็นในครัวนั้นคือพนักงานรอบดึกที่มาแอบนอนใน Canteen แล้วหนีไม่ทันตอนสึนามิมา
ผมได้ฟังแล้วก็พูดไม่ออกเพราะทุกอย่างที่พี่เดชเล่ามาทุกคนในเรื่องนี้ผมเจอมาทั้งหมดภายในคืนเดียว เรื่องยังไม่จบแค่นั้นครับอยู่ๆ พี่เดชก็พูดขึ้นมาว่า “มึงอยากเห็นมั้ยล่ะว่าที่กูพูดจริงมั้ย” เอาจริงๆ ตอนนั้นผมเหมือนคนบ้านิดๆ คือออกแนวว่า “ไหนๆ กูก็เจอมาขนาดนี้แล้วก็เอาแม่งให้สุดเลยดีกว่า” ผมเลยบอกแกไปว่า “ได้พี่เอาไงเอากัน” พี่เดชเลยบอกว่า “งั้นมึงห้องครัวกับกูเลยตอนนี้” ผมกับพี่เดชก็เดินทางไปห้องครัวกันพอไปถึงสภาพแสงไฟสลัวๆ ยังคงเหมือนเดิม เราสองคนยืนแอบมุมอยู่แล้วพี่เดชก็บอกว่า “มึงลองมองไปทางตู้เย็นแล้วคอยดูนะ” ผมก็ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแม้จะกลัวอยู่ก็ทำตามที่แกบอก แล้วสิ่งที่ผมเห็นทำเอาผมแทบล้มทั้งยืนอีกครั้ง ผมเห็น “ผู้ชายใส่ชุด Chef กำลังเปิดตู้เย็นอย่างช้าๆ แล้วหยิบอาหารออกมาเหมือนจะกำลังเตรียมทำอะไรสักอย่าง ก่อนจะเดินไปหยิบถาดมาเตรียมใส่วัตถุดิบซึ่งนั่นคือเสียงที่ผมได้ยิน” ลักษณะท่าทางของเขาดูเหมือนคนปกติและค่อยๆ เตรียมการไปอย่างช้าๆ ถึงตอนนี้ผมทนไม่ไหวเลยหลบเข้ามาและบอกพี่เดชว่า “พี่ผมไม่ไหวแล้วหว่ะ ไปเหอะ” ก่อนจะรีบวิ่งมาจากตรงนั้นกลับไปที่ Office เลยครับ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าพี่เดชแกจะตามมามั้ย แล้วผมก็นั่งอยู่ใน Office จนเช้าโดยไม่ได้พูดไม่ได้บอกกับใครพอถึงเวลาออกกะก็รีบลงมาเตรียมตัวกลับบ้าน
ในระหว่างทางที่เดินไปที่ Locker ช่วงประมาณ 6 โมงเช้าพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดีมีแสงอาทิตย์สลัวๆ ผมเดินสวนกับผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุด Chef ลักษณะท่าทางเหมือนกับคนที่ผมเห็นเมื่อคืนที่ห้องครัวท่าทางเหมือนกำลังเพิ่งออกกะดึกมาตอนนั้นผมเริ่ม งงๆ เพราะถ้าแกเป็น Chef ก็ไม่น่าจะเข้ากะกลางคืนนี่นาเพราะพี่เดชแกเข้าอยู่ แม้จะไม่แน่ใจว่าใช่คนๆ เดียวกันไหมเพราะตอนนั้นผมก็เห็นไม่ชัดแต่ผมคิดว่าน่าจะใช้คนๆ เดียวกัน อาการขนหัวลุกของผมเริ่มกลับมาอีกครั้งผมเลยรีบเดินผ่านมาอย่างไวจนมาหยุดที่หน้าห้อง HR ผมเห็นประกาศในบอร์ดอันหนึ่งผมเดินเข้าไปดูอย่างช้าๆ แล้วก็แทบล้มทั้งยืนเพราะในประกาศเขียนใจความสรุปว่า “ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของคุณเดชและหากพนักงานท่านใดต้องการร่วมทำบุญในงานศพของคุณเดชสามารถบริจาคได้ที่บัญชี...” พนักงานที่มายืนดูป้ายกลุ่มหนึ่งพูดกันว่า “สงสารพี่เดชนะแกขับรถของแกอยู่ดีๆ ไอ้รถเก๋งคันนั้นดันเมาแล้วมาชนแกซะอย่างนั้น สงสารแกจริงๆ” พร้อมกับเสียงอีกคนที่ถามขึ้นมา “มึงแล้วพี่เดชแกไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” อีกคนก็ตอบกลับไป “แกไปตั้งแต่เมื่อคืนช่วงค่ำๆ ที่แกจะมาเข้างานนั่นแหละ”
ผมอึ้งจนพูดไม่ออกและยังคิดไปอยู่ว่า “นี่ผมฝันไปหรือเปล่า” เพราะเมื่อคืนพี่เดชแกอยู่กับผมและเรายังคุยกันอยู่เลยตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูกเพราะเจอเหตุการณ์ช๊อคครั้งที่สามผมเลยวิ่งออกมาจากโรงแรมทั้งชุด Uniform กลับหอพักแบบไม่คิดชีวิต ในขณะที่วิ่งมาได้ครึ่งทางผมเหลือบไปเห็นไทยมุงกลุ่มหนึ่ง พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังยืนมุงดูอะไรกันอยู่สักอย่างด้วยความอยากรู้อยากเห็นแม้จะช๊อคแต่ด้วยนิสัยขี้เสือกของผมก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปดู
ผมค่อยๆ เดินเข้าไปในวงอย่างช้าๆ โดยที่ไม่มีใครว่าอะไรเหมือนผมไม่มีตัวตน ผมอยากรู้ว่าเค้ามุงอะไรกันและทันทีที่ผมเห็นสิ่งที่เขามุงกันอยู่นั้นมันคือ “ศพของชายคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าใส่ชุดพนักงานโรงแรม” สักพักเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังเริ่มที่จะเก็บกู้ศพจึงค่อยๆ พลิกศพจากนอนคว่ำให้เป็นท่านอนหงายซึ่งขณะนั้นมีเสียงซุบซิบกันของฝูงชนผมจับใจความได้ว่า “น่าสงสารน้องเค้าจริงๆ โจรสมัยนี้ก็อำมหิตจังมือถือเครื่องเดียวถึงกับฆ่าแกงกันได้ ใจร้ายจริงๆ” ผมเลยน่าจะสันนิษฐานได้ว่าเป็นการฆ่าชิงทรัพย์กัน พอกู้ภัยเริ่มจับศพพลิกท่านอนหงายปรากฎว่าเมื่อหงายหน้ามาผมจึงรู้ว่า “ศพนั้นมันคือตัวผมเอง” และที่ไปทำงานมาเมื่อคืนนี้มันคือคนสองคนที่มีจุดจบเดียวกันคือ “ผมและพี่เดช” นั่นเอง
ยังไงก็เตรียมตัวกันไว้นะครับ ผมและพี่เดชอาจจะไปร่วมงานกับคุณที่ไหนสักแห่งในโลกใบนี้ก็ได้ หึหึหึ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น