วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ไม่อ่านก็ไม่ต้องอ่านเว้ย




หลายๆ ครั้งที่เฮียโดนต่อว่าที่ทำเพจนี้ เพราะทัศนคติที่ไม่ค่อยเปิดกว้างและมองโลกหลายๆ ด้านของบางคน กรณีนี้เฮียก็อยากให้เห็นและเข้าใจว่า Wording ที่ Philip Kotler ปรมาจารย์ด้านการตลาดและอาจารย์ของนักการตลาดส่วนใหญ่ทั่วโลก ได้กล่าวไว้ว่า "Customer is King" หรือลูกค้าคือพระเจ้า แท้จริงแล้ว เขาต้องการเปรียบเปรยว่าลูกค้าคือผู้ที่มีอุปการะคุณมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการของเรา เรามีหน้าที่ต้องให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าแบบเหนือความคาดหมาย แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกค้ามีสิทธิทำตามอำเภอใจจนไม่สนใจสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นได้ทุกอย่าง เพราะการให้ต้องอยู่ในขอบเขตที่ไม่ลดรอนสิทธิของคนอื่น

แต่ในบ้านเราดูเหมือนหลายๆ ครั้ง แขกบางคนตีความหมายคำว่า ลูกค้าคือพระเจ้าผิดไป เพราะด้วยสังคมไทยสมัยก่อนที่คุ้นชินกับการมีคนรับใช้มีคนปรนิบัตรและเอาใจ ทำให้อาชีพงานบริการในบ้านเรานั้นเลี่ยงไม่ได้เลยที่จะถูกมองโดยแขกบางส่วนว่าพนักงานบริการคือคนรับใช้ที่ต้องคอยเอาใจคอยง้อและทำทุกอย่างที่สั่งโดยไม่มีข้อโต้แย้ง และปัจจุบันถ้าเขาไม่ได้ตามที่ต้องการหลายๆ ครั้งจบลงที่ Social Network ส่วนจะจริงหรือไม่จริงอันนี้ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ หลังลง Social ไปแล้ว ชื่อเสียงของโรงแรมคงต้องถูกมองเป็น Negative ไปก่อนแล้วแน่นอน

ในเมืองนอกบางประเทศมีกฏหมายคุ้มครองสวัสดิภาพพนักงานบริการ เช่น อนุญาติให้พนักงานปฏิเสธการบริการสำหรับแขกที่มีอาการมึนเมาจนควบคุมสติไม่ได้ หรือพนักงานมีสิทธิปฏิเสธการเข้าพักกรณีแขกผู้เข้าพักไม่สามารถแสดงตัวตนด้วยเอกสารทางราชการใดๆ ได้ ซึ่งแตกต่างจากบ้านเราที่หากไม่ให้บริการก็จะถูกลูกค้าบางคนใช้คำว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" เป็นเครื่องต่อรอง เพราะยังเข้าใจความหมายของคำดังกล่าวในทางที่ผิด

อีกอย่างที่อยากฝากสำหรับพวกที่ชอบต่อว่าพนักงานบริการว่า (หรือแม้แต่พนักงานบริการบางคนที่มาว่าเฮีย) "ทำไม่ได้ให้ไปหางานอื่นทำ" คำๆ นี้จะไม่เกิดขึ้นหรอกครับ ถ้าแขกรู้จักคำว่า "พอดี" ไม่อยากได้ในสิ่งที่ตัวเองไม่มีสิทธิและเข้าใจคำว่า You get what you paid.

คลิปนี้ขอบคุณ CR. BBCThai, Hoteljob.in.th, ในตัวคลิปมีรายละเอียดอธิบายให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นในต่างประเทศคงไม่ต้องบอกว่าคนขับชนจะมีโทษและได้รับโทษอย่างจริงจังขนาดไหน แต่ถ้าเป็นบ้านเราคงออกไปในทางไกล่เกลี่ยมากกว่าเพราะยังเข้าใจความหมายของคำว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" ในแบบที่ผิดๆ โชคดีมากที่พนักงานโรงแรมสองคนในคลิปนี้ไม่เป็นอะไรไป


วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เครื่อง EDC




ตอนที่เฮียเป็น G.S.A ใหม่ๆ มันมีเรื่องนึงที่เฮียตื่นเต้นเว้ย คือเรื่องการทำ Offline ตอนนั้นเฮียจำได้ว่ามีแขกเขามา Check Out แล้วทีนี้เขาก็ยื่น Slip CR. ที่ทำ Card Ver. เอาไว้ มาให้เฮียตอนจ่ายเงินเว้ย ตอนนั้นเฮียแม่งเพิ่งเข้ามาทำงานรอบกลางวัน ไม่เคยเจออะไรแบบนี้บ่อยๆ เพราะถนัดแต่ตอนอยู่กลางคืน แขกมา C/I เฮียก็จับ SALE ตัดบัตรทันทีเลยไม่ต้องเรื่องมาก แต่รอบดึกมันก็ไม่ค่อยมีแขกมาพักเยอะเท่าไหร่หรอก เพราะมันดึกแล้ว พอเฮียรับ Slip Card Ver. มาเว้ย เฮียก็พอจำได้แหละว่ามันต้องกด Function "Offline" ในเครื่อง EDC ปุ่มไหนอะไรยังไงบ้าง เฮียก็จัดแจงทำตามขั้นตอนไปเรื่อยๆ เว้ย เหมือนทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีเพราะเครื่อง EDC มันก็ทำรายการของมันให้เรากดไปเรื่อยๆ ทีนี้พอมาถึงขั้นตอนที่มันถาม "Approve Code" เฮียก็ มึนๆ งงๆ เว้ย ตื่นเต้น เหงื่อไหลออกตามง่ามนิ้ว เพราะตอนนั้นจำสับสนระหว่างการทำ VOID กับ Offline ว่ามันต้องใส่รายละเอียดอะไรใน Slip บ้าง เอาตัวเลขตรงไหน อะไรยังไง มาใส่ มือใหม่ด้วยไงเฮียตอนนั้น เฮียแม่งก็หาอยู่นานพอสมควร ทั้งใน Slip ทั้งในเครื่อง EDC (ซึ่งแม่งก็ไม่รู้จะไปหาทำไม มันมีแต่หมายเลข S/N ของเครื่อง กับเบอร์โทรอนุมัติวงเงิน (ที่แม่งนานโคตรกว่าเจ้าหน้าที่จะรับ) ตื่นเต้นด้วยตอนนั้น แขกแม่งก็ยืนกดดันกูจัง แถมตอนนี้เริ่มมีการหันไปปรึกษากันแล้วด้วย ประมาณว่ากลัวเฮียทำอะไรกับบัตรเขา เฮียแม่งลนจนทำอะไรไม่ถูก มี Shot นึง เสือกไปใส่หมายเลข TID เข้าให้แทน Approve Code คราวนี้แม่งก็ไปใหญ่เลยกู เครื่อง Reject ร้อง "ตี๊ดดดดดดด" ไม่ให้ทำรายการ ต้องย้อนกลับมาทำ Offline ใหม่ แม่งตื่นเต้นเข้าไปอีก โชคดีมากที่ตอนนั้นพี่ Duty แกเดินมาพอดีแล้วก็ถามว่าเป็นอะไร พอเฮียเล่าให้แกฟังแล้วแกก็เอา Slip บัตรมาให้ดูพร้อมกับ พอยต์นิ้วสวยๆ ไปที่คำว่า Approve Code แล้วก็พูดกับเฮียด้วยเสียงที่ไพเราะว่า "มึงอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกไง๊หาาาา แขกรอตายแล้ว" 555 ก็เป็นเรื่องฮากันไป แต่ตอนนั้นแม่งกดดันหว่ะ จริงๆ นะ ตื่นเต้นด้วย

ปล.อย่าว่าโง่นะ กูยอม ใครว่าเฮียโง่ขอให้เดือนหน้า Service ลดฮวบๆ


วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Cancel Day Off


Where Where is Where Wher แปลเป็นไทยว่า “ไหนๆ ก็ ไหนๆ และ” ว่ากันเรื่องโดน Cancel Day Off ไปแล้ว วันนี้เฮียมีประสบการณ์เรื่องการเปลี่ยน Shift มาเล่าให้ฟัง

อันนี้จากประสบการณ์เฮียที่ครั้งหนึ่งเฮียเคยทำงานในโรงแรมที่เขามีปัญหา Manpower ไม่พอ แต่ก็ไม่คิดจะเติมให้มันพออ่ะนะ อาจจะด้วยเหตุผลกลัวว่า Operation Cost มันจะเพิ่มหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ตอนนั้นเฮียเป็น Duty Manager ทีนี้มันเป็นช่วงที่คนไม่พอทั้งแผนก Front Office เลย ชีวิตการทำงานของเฮียมันเลยออกมาแบบว่าอาทิตย์นี้เช้า Afternoon Shit เอ้ย!!!! Shift เฮียก็เข้ารอบบ่ายทำงานรอบบ่ายไปเรื่อยๆ จนมาถึงวันพุธเฮียต้องเปลี่ยนมาเข้ารอบดึกเพราะ Night Manager เขาลาหยุดยาว อ่ะ..ทีนี้เฮียก็มาเริ่มชีวิตกลางคืนเป็นเวลา 4 คืนตามที่ Night Manager เขาหยุด พอเข้างานรอบดึกเสร็จวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดเฮีย แต่ขอโทษรอบดึกของเมื่อวานที่เป็นวันทำงานแม่งกว่าจะ Clear งานส่งต่อรอบเช้าปาเข้าไป 9 โมงกลับบ้านอาบน้ำแต่งตัวซึ่งมันก็สดชื่นดิ ทีนี้ใครแม่งจะนอนหลับในทันทีวะ ว่าแล้วก็นั่งดูหนังทำนู้นทำนี่ไปคุยกับแม่บ้างเล่นกับหมาบ้างกว่าจะง่วงแม่งก็ปาเข้าไปเที่ยงวัน ถึงตรงนี้หมดและวันหยุดกูครึ่งวันหายไปเรียบร้อยแล้ว พอวันรุ่งขึ้นแม่งมาเข้างานบ่ายกลายเป็นมนุษย์กลางวันอีกปรับเวลากันอย่างกับกิ้งก่าอีกัวน่าแทบไม่ทัน วันดีคืนดีน้อง G.S.A รอบเช้าป่วยมาไม่ได้แล้วไม่มีคนแทน เฮียแม่งก็ต้องแปลงร่างเป็นมนุษย์ Morning Shit เอ้ย!! Shift อีก อาการแม่งเลย งงๆ มึนๆ ตึงๆ ต้องปรับตัวกันอีกแทบไม่ทัน

และที่เด็ดสุดเว้ย ตอนนั้นเฮียเข้ารอบบ่ายเลิกงาน 5 ทุ่ม แต่กว่าจะเคลียร์อะไรเสร็จแม่งก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่าๆ และ ทีนี้เที่ยงคืนก็แล้ว ตีหนึ่งก็แล้ว ตีหนึ่งครึ่งก็แล้ว Night Manager ก็ยังไม่มาซะที ที่โรงแรมโทรตามตั้งแต่เที่ยงคืนครึ่งก็ไม่ติดไม่รับ โทรไปที่หอเขาก็บอกว่าพี่ Night Manager เขาไม่อยู่หอติดต่อไม่ได้ อย่ากระนั้นเลยไอ้ครั้นจะปล่อยให้น้องรอบดึกกับ Night Audit อยู่ทำงานโดยไม่มี Manager เดี๋ยวมันเกิดมีเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรมามันจะพายุ่งกันไปใหญ่ ว่าแล้วก็ “ควงกะซิมึง” นี่ถ้าเป็น รปภ.กูรับสองแรงรวยแล้วเนี่ย กะบ่ายควบดึก ทำงานข้ามวันฉายวนอย่างกับโรงหนังพระโขนงราม่าลากกันไปตั้งแต่บ่ายสองยันแปดโมงเช้าของอีกวัน และที่เด็ดกว่านั้นเนื่องจากคนมันไม่มีและไม่ลงตัวจริงๆ เว้ย พอออกกะตอน 8 โมงกลับถึงบ้านอาบน้ำนอนก็ประมาณ 10 โมง พอบ่ายสามโมงเฮียแม่งต้องตื่นมาทำงานเข้ารอบบ่ายต่ออีก โอ้แย้!!!! “ที่สุดของแจ้” กันเลยทีเดียว

หลังๆ แม่เฮียเริ่ม งงๆ กับลูกตัวเองเห็นมันทำงานบ่ายบ้างเช้าบ้างดึกบ้าง สภาพเริ่มโทรมหน้าตาสิวเริ่มถามหาเพราะพักผ่อนไม่พอที่สำคัญไม่ได้เจอหน้าแม่ที่พลัดพรากจากกันนานกว่า 1 เดือนเลย (ออกแนวดราม่า) แม่เฮียแกเลยถาม “ตกลงมึงทำงานเวลาไหนเนี่ย กู งง กับมึงเหลือเกินจะชวนไปไหนบ้างก็ไม่ได้เดาเวลาทำงานมึงไม่ถูก” เฮียเลยบอกแม่กลับไปว่า “ผมมันอินดี้ แม่ไม่เข้าใจผมหรอก มันเป็นอารมณ์ศิลปินแม่” แกเลยตอบกลับมาสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า “เรื่องของมึง”.... ว่าแล้วเฮียก็สรรหา แบนเนอร์โปรตีน วิตตามินซี น้ำมันปลาโอเมก้า3 มากิน กินแม่งอย่างกับเป็นขนมเลยอย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าไม่ได้บำรุงอะไรเลยแหละวะ

จริงๆ ถ้าจำเป็นจริงๆ เวลาเฮียจัดตารางนะ ถ้าใครเข้ารอบเช้าเฮียจะให้มาแทนรอบบ่ายที่หยุดได้ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ถ้าจะให้รอบบ่ายมาแทนรอบเช้าต้องจำเป็นจริงๆ ถึงจะให้มา (ซึ่งแม่งก็จำเป็นทุกครั้งแหละ) ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนกันตอนที่รอบบ่ายมันหยุดมาแล้วมากกว่า เพราะถ้าวันนี้รอบบ่ายเลิกงานเบ็ดเสร็จเที่ยงคืนกลับบ้านอาบน้ำนอนตีไปซะประมาณตี 1 แล้วต้องแหกรูม่านตามาเข้างานรอบเช้าอีกตอน 6 โมงเช้าในวันรุ่งขึ้นซึ่งมันต้องตื่นก่อนอยู่แล้วประมาณตี 4 ตี 5 ร่างกายมันอาจจะปรับตัวไม่ทันและพาลง่วงไปซะ ถ้าจะให้เปลี่ยนโดยรอบบ่ายไม่ได้หยุดมาก่อนแล้วจะให้มาเช้าเลยต้องถามกันก่อนถ้าจะให้ดีว่าไหวมั้ย (ส่วนใหญ่ก็ออกแนวจะบังคับให้มันไหวนั่นแหละ) ส่วนรอบบ่ายสามารถแทนรอบดึกในวันที่รอบดึกหยุดได้ไม่ค่อยมีปัญหานะแต่วันรุ่งขึ้นถ้ารอบบ่ายเข้างานแทนรอบดึกมันควรจะเป็นวันหยุดของคนที่เข้ารอบบ่ายจะได้พักผ่อนให้เพียงพอต่อไปเลย

Cr. เฮียไงจะใครล่ะ



บทความแนะนำ