วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Line Hospitality

 เตรียมความพร้อมในการปรับตัวธุรกิจยุคใหม่




ค้นหาโอกาสและแนวทางการพลิกฟื้นประเทศไทยไปกับกลุ่มธุรกิจบริการรวมไปถึงด้านการท่องเที่ยว Trend ธุรกิจบริการและการท่องเที่ยวในยุคหลัง COVID-19 จะเป็นอย่างไร? ทำอย่างไรให้ธุรกิจอยู่รอด? หาคำตอบได้ในงานสัมมนาระดับประเทศ

“LINE Hospitality Tech 2021 : Next in the new era ท่องเที่ยว สุขภาพ พลิกฟื้นประเทศไทย” งาน Event ระดับชาติที่คนในวงการโรงแรมและท่องเที่ยวไม่ควรพลาด!

เชื่อว่าคำถามหนึ่งที่มักจะถูกถามกันในอุตสาหกรรมการโรงแรมและการท่องเที่ยวในปัจจุบันนี้นั่นคือคำถามที่ว่า “หลักจากวิกฤต COVID-19” อุตสาหกรรมการบริการ โรงแรมและการท่องเที่ยวจะเป็นอย่างไร? จะมีวิธีหรือการเตรียมความพร้อมใดในการพลิกฟื้นธุรกิจได้บ้าง? หรือแม้แต่คำถามในเชิงภาพใหญ่ กับมูลค่าการท่องเที่ยวของไทยที่เคยรั้งตำแหน่งอันดับ 3 ของโลกในปี 2017 มาแล้ว เปิดประเทศครั้งนี้ไทยเราควรเดินหน้าฟื้นฟูอย่างไรได้บ้าง?”

งาน “LINE Hospitality Tech 2021: Next in the new era” ท่องเที่ยว สุขภาพ พลิกฟื้นประเทศไทย น่าจะเป็นอีกหนึ่งงานน่าสนใจแห่งปี ที่จะมาช่วยให้ความรู้ เทรนด์น่าสนใจ นำมาสู่คำตอบของคำถามเหล่านี้ได้โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและสุขภาพซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจสำคัญในตอนนี้รับการเปิดประเทศเลยทีเดียว

เห็นรายนาม Speakers แล้วต้องบอกว่าเป็นงานเดียวที่รวมหลากหลายองค์กรชั้นนำระดับประเทศจริงๆ ตั้งแต่ภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้เชี่ยวชาญ ที่ปรึกษาแถวหน้าในเรื่อง Digital Transformation มาร่วมเปิดมุมมองกางโร้ดแมปทางรอดประเทศไทย แบ่งปันกลยุทธ์เดินหน้าผลักดัน 2 กลุ่มธุรกิจใหญ่ ได้แก่ ธุรกิจด้านการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านอาหาร
แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ และภาคธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพ อย่าง โรงพยาบาล บริการทางการแพทย์ บริการด้านสุขภาพ ด้วยเทคโนโลยีรับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ

เพื่อเป็นความหวังช่วยพลิกฟื้นประเทศไทย สร้างมูลค่าเพิ่ม
เสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว ขอบอกเลยว่าคนในแวดวงธุรกิจโรงแรมอย่างเราๆ ไม่ควรพลาดเด็ดขาดกับงานนี้! นักธุรกิจ ผู้ประกอบการในธุรกิจบริการด้านการท่องเที่ยวและด้านสุขภาพที่สนใจ สามารถเข้ารับชมงานในวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป

ผ่านทางหน้าเว็บไซต์ https://lin.ee/3v8r7Ja/wcvn

LINE Official Account: LINE for Business (@linebizth) และ FB & LINE TV: LINE for Business

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมกำหนดการได้ที่ https://lin.ee/3v8r7Ja/wcvn

#LINEHospitalityTech2021 #LINEforBusiness

วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

ใคร

 เรื่องหลอนก่อนนอน ตอน “ใคร” EP.1


“ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จและตั้งใจเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการฝึกงานครั้งนี้ให้เต็มที่นะคะ” ทันทีที่จบประโยคนี้การเรียนการสอนวันสุดท้ายของภาคเรียนนี้ได้สิ้นสุดลงและต่อจากนี้พวกเราทุกคนจะเข้าสู่ช่วงเวลาของการ “ฝึกงาน” ซึ่งถือเป็นอีกส่วนหนึ่งในการเพิ่มพูนทักษะภาคปฏิบัติให้กับเราเพื่อให้เราได้จบออกไปเป็นบุคคลากรด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ

ผมชื่อ "ลม" ครับเป็นนักศึกษาการโรงแรมและการท่องเที่ยวของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสานสาเหตุที่ผมเลือกเรียนสาขานี้ก็ไม่มีอะไรมากครับคือมันมีคนข้างบ้านของผมที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแกไปทำงานโรงแรมที่กรุงเทพแล้วมีเงินมีทองกลับมาให้พ่อให้แม่ที่บ้านมากมายจนซื้อที่ซื้อทางได้พ่อแม่ของผมก็เลยอยากให้เรียนสาขานี้บ้างผมก็เลยได้มาเรียนที่นี่ครับ

อย่างที่บอกว่าผมกำลังอยู่ในช่วงที่จะต้องไปฝึกงานตามข้อกำหนดของหลักสูตรในช่วงที่ผมและเพื่อนตระเวนหาโรงแรมในการฝึกงานก่อนหน้านั้นประมาณ 2-3 เดือนเพื่อนของผมที่ชื่อ “ไอ้ชิน” มันบังเอิญไปรู้จักกับลูกเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งชื่อ “เอส” เข้าผ่านการไปเตะบอลด้วยกันหลายครั้งแล้วคุยกันถูกคอก็เลยสนิทกันทีนี้มันก็เลยพูดทีเล่นทีจริงว่า “ขอไปฝึกงานโรงแรมเอสได้ไหม?” ซึ่งเอสก็ตอบตกลงเพราะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรอีกทั้งหลายๆ ครั้งโรงแรมเอสก็รับนักศึกษาฝึกงานอยู่แล้ว จากนั้นไอ้ชินกับผมก็แจ้งอาจารย์เกี่ยวกับโรงแรมที่จะไปฝึกงานซึ่งอาจารย์ก็จัดการติดต่อฝ่ายบุคคลของโรงแรมเพื่อทำเรื่องขอไปฝึกงานโดยที่เอสได้บอกไอ้ชินไว้ว่าถ้ามีอะไรให้ติดต่อคนชื่อพี่นีซึ่งพี่นี แกเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่โรงแรมของเอสและดูแลเรื่องนักศึกษาฝึกงาน

พอถึงวันที่ผมจะต้องเดินทางไปฝึกงานที่โรงแรมของเอสไอ้ชินก็ได้โทรไปบอกเอสว่าเรากำลังจะไปฝึกงานที่โรงแรมของเอสและกะว่าจะนัดเจอกันแต่โทรไปหลายครั้งดันติดต่อไม่ได้เพราะสัญญาณเหมือนบอกว่าเอสปิดเครื่องเราสองคนก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะกะว่าติดต่อฝ่ายบุคคลไว้แล้วที่สำคัญเราอยู่หอพักของโรงแรมเดี๋ยวก็น่าจะติดต่อเอสได้ไม่ยากเพราะยังไงเอสก็น่าจะมาที่โรงแรมอยู่แล้ว

ผมและไอ้ชินก็นั่งรถโดยสารไปยังโรงแรมสำหรับโรงแรมนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกได้ว่า “เป็นแหล่งโอโซนติดอันดับโลกที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง” ลักษณะเป็นตึก 2 ตึกแยกกันคั่นกลางด้วยสระว่ายน้ำและสวน มีตัวห้องอาหารสไตล์เรือนไทยแยกออกไปโดยรวมแล้วถือว่าเป็นโรงแรมขนาดใหญ่พอสมควรเลยครับ จุดขายที่นี่น่าจะเป็นบรรยากาศร่มรื่นที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มีลมพัดเย็นๆ แบบธรรมชาติตลอดเวลา พลันที่ผมและไอ้ชินมาถึงที่โรงแรมเราสองคนก็ติดต่อพี่ รปภ.และแจ้งว่า “เราจะมาฝึกงาน” พี่ รปภ. พอได้ยินว่าจะมาฝึกงานแกก็ชะงักไปทีนึงแล้วก็ถามย้ำกลับมาว่า “มาฝึกงานเหรอน้อง?” ไอ้ชินมันปากไวกว่าผมมันก็ตอบกลับไปว่า “ใช่ครับพี่ผมสองคนมาฝึกงาน” พี่แกก็นิ่งไปสักพักแล้วก็ก้มไปหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาฝ่ายบุคคลก่อนที่แกจะบ่นพึมพำเสียงเบาๆ ผมได้ยินไม่ชัดแต่จับใจความได้ประมาณแกพูดว่า “ไม่รับเด็กฝึกงานมาตั้งนานแล้วทำไมอยู่ๆ เกิดมารับเอาตอนนี้วะ?” แต่ด้วยเสียงแกเบาไปหน่อยผมได้ยินไม่ค่อยชัดเลยไม่ได้สนใจอะไร ส่วนจะหันไปถามไอ้ชินก็คงไม่ต้องไปหวังพึ่งอะไรกับมันหรอกเพราะตอนนี้มันกำลังไล่ถ่ายรูปทางเข้าโรงแรมกับตัวมันเองอย่างเมามัน

พี่ รปภ.โทรหาฝ่ายบุคคลสักครู่ก็แจ้งให้เราเข้าไปที่ออฟฟิศฝ่ายบุคคลซึ่งอยู่ด้านหลังป้อม รปภ.ไม่ไกลนักผมและไอ้ชินขอบคุณแกแล้วก็เดินไป ระหว่างทางที่เดินไปที่ฝ่ายบุคคลนั้นสองข้างทางจะมีต้นไม้สูงขึ้นขนาบข้างกันแต่ถูกตกแต่งไม่ให้รกให้ความร่มรื่นดีเพียงแต่ถ้าในช่วงเวลากลางคืนน่าจะดูวังเวงพิกลเดินมาเรื่อยๆ จนเห็นออฟฟิศฝ่ายบุคคลอยู่ข้างหน้าไม่ไกลสายตาผมเหลือบไปเห็นสิ่งๆ หนึ่งอยู่ข้างทางตอนแรกที่หางตาผมเห็นมันเหมือนเป็นกล่องโฟมที่ใส่ข้าวกางอยู่พอเพ่งไปดีๆ ผมเห็นในกล่องนั้นมีข้าวราดแกงกับขนมอยู่ในนั้นพร้อมกับน้ำขวดเล็กอีกหนึ่งขวดและที่สำคัญมีธูปที่ดับแล้วอยู่ 1 ดอกปักอยู่ตรงกลางข้าวกล่องนั้น

ผมเห็นแล้วก็กะจะชี้ให้ไอ้ชินดูแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะก็พอรู้มาว่ามันน่าจะเป็นการไหว้สัมภเวสีแต่ที่รู้สึกแปลกๆ คือพอมองถัดจากกล่องอาหารขึ้นไปมันมีรูปปั้นอยู่คู่หนึ่งเป็นรูปตุ๊กตาผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ใต้ต้นไม้ซึ่งถ้าไม่สังเกตดีๆ จะมองไม่เห็นเพราะค่อนข้างเล็กและอยู่ระดับเดียวกับต้นไม้ทรงเตี้ยๆ ผมหันมาสะกิดให้ไอ้ชินดูจังหวะที่ผมหันไปบอกเพื่อให้มันมาดูไอ้ชินมันหันมาก่อนแล้วผมหันกลับตามมาปรากฎว่าไอ้ชินมันบอกกับผมว่า “มึงให้กูดูอะไรวะมีแต่ต้นไม้?” ผมหันกลับไปมองที่เดิมปรากฎว่าข้าวกับตุ๊กตาเมื่อกี้มันไม่มี ตรงนั้นมันมีแค่ต้นไม้เฉยๆ ไม่มีร่องรอยของอะไรเลย ผมก็ งง นะว่า “เฮ้ย เมื่อกี้กูยังเห็นอยู่เลย?” แล้วก็ยังเถียงกับไอ้ชินว่า “เฮ้ยกูเห็นจริงๆ นะมึง” ไอ้ชินมันตอบกลับมาว่า “มึงมั่วแล้วไอ้ลม....แดกยาแก้เมารถไปแล้วมึนหรือเปล่ามึง?” ผมเถียงกับมันอยู่สักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากออฟฟิศฝ่ายบุคคลแล้วกวักมือเรียกเราสองคน

ผมและไอ้ชินก็รีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปเพราะผู้ใหญ่เรียกต้องรักษามารยาทหน่อยไปถึงก็เจอกับ “พี่นี” ที่ออกมารับผมและไอ้ชินก็ยกมือไหว้เคารพแกซึ่งแกก็รับไหว้แล้วก็เอ่ยปากถามมาว่า “ เหนื่อยกันไหมนี่ก็จะเที่ยงแล้วเดี๋ยวไปกินข้าวกับพี่ก่อนที่แคนทีนนะ” แล้วแกก็พาเราไปแคนทีนเพื่อกินข้าวเที่ยงกันก่อนและกลับมาทำเรื่องต่อทีหลัง

ระหว่างทางเดินไปแคนทีนเนื่องจากมันใกล้จะเที่ยงแล้วผมและไอ้ชินเดินไปเรื่อยๆ ก็เจอกับพนักงานที่กำลังทยอยลงมากินข้าวกลางวันสิ่งที่น่าแปลกใจคือทุกคนมองผมกับไอ้ชินแบบแปลกๆ งงๆ ประมาณว่าไอ้นี่เป็นใครคืออาการของทุกคนเหมือนไม่ได้ งง ว่าผมสองคนเป็นเด็กฝึกงานเข้ามาแต่ทุกคนเหมือนกำลัง งง ว่า “นี่โรงแรมรับเด็กฝึกงานแล้วเหรอ” เหมือนประมาณว่าที่นี่ไม่เคยมีเด็กฝึกงานมานานแล้วนั่นแหละครับ

ไอ้ชินมันหันมากระซิบบอกผมด้วยความแปลกใจว่า “เฮ้ยไอ้ลมทำไมพวกพี่ๆ เค้ามองเราแปลกๆ วะ?” ผมไม่อยากให้มันคิดมากก็เลยบอกไปว่า “เออ ไม่มีอะไรหรอกมั้งเค้าคง งง แหละที่มีเด็กใหม่เข้ามา” แม้เราสองคนจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากยังคงเดินตามพี่นีไปถึงห้องแคนทีน พอไปถึงประตูทางเข้าแคนทีนไอ้ชินมันเดินเข้าไปก่อนแต่ตอนนั้นอะไรดลใจผมไม่รู้ให้เงยหน้าขึ้นไปดูผนังด้านบนของประตูปรากฎว่ามันมียันต์อยู่หนึ่งอันแปะอยู่หนึ่งอันที่แปลกคือมันเป็นภาษาที่ผมอ่านไม่ออกและน่าจะไม่ใช่ผ้ายันต์ของเกจิอาจารย์ที่ไหนเพราะมันดูเหมือนักบเป็นแผ่นธรรมดาที่เอาตัวอักษรต่างๆ เหล่านั้นมาเขียนไว้

ในขณะที่ยืนดูผ้ายันต์อยู่คนเดียว ณ ตอนนั้นซึ่งไอ้ชินกับพี่นีเข้าไปรับอาหารแล้วจู่ๆ ผมก็เกิดอาการขนลุกทั่วตัวตั้งแต่หัวเลยนะครับอาการตอนนั้นคือรู้สึกได้เลยถึงคำว่า “ขนหัวลุก” แล้วจู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูว่า “นาย ๆ” จะว่าผมหูฝาดก็ไม่น่าจะใช่เพราะผมว่าผมก็ได้ยินเหมือนคนเรียกจริงๆ แต่ใจหนึ่งก็คิดไปได้ว่ามันอาจจะเป็นพนักงานที่รุ่นราวคราวเดียวกับผมที่ลงมากินข้าวเรียกหรือเปล่าผมค่อยๆ หันหลังกลับไปดูปรากฎว่าด้านหลังของผมนั้น “ไม่มีใครอยู่เลยสักคนครับ”

โปรดติดตามตอนต่อไป...

#hotelmanstory #hotelman #hotelmantravel #hotelblogger #hotelreviewer #เรื่องหลอนก่อนนอน

ใคร 2

 เรื่องหลอนก่อนนอน ตอน “ใคร” EP.2



ในขณะที่ผมกำลังยืน งง อยู่ว่าเสียงใครที่เรียกนะ พี่นี กับ ไอ้ชิน ก็เรียกให้ผมเข้าไปในแคนทีน ตอนนั้นผมรีบเดินเข้าไปแล้วก็คิดไปเองว่า “ไม่น่าจะมีอะไร” เพราะตอนนี้มันก็กลางวันแสกๆ แต่ก็ยังติดใจอยู่นิดๆ ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะที่มีพี่นีกับไอ้ชินนั่งอยู่ก่อนแล้วทั้งสองคนก็บอกให้ผมไปตักอาหารมาเพราะที่นี่เค้าจะทำเป็นไลน์บุฟเฟ่ต์ไว้ให้พนักงานตักเอาเลยพ่อครัวแม่ครัวมีหน้าที่แค่ปรุงและเติม

ผมเดินไปหยิบถาดหลุม (นึกถึงความทรงจำตอนเข้าค่ายลูกเสือจริงๆ ) ผมค่อยๆ เดินไปตักอาหารวันนี้มีข้าวเปล่า ไก่ผัดขิง และแกงส้ม ผมค่อยๆ ตักอาหารทีละอย่าง สภาพของ Counter ที่วางกับข้าวนั้นเป็นลักษณะเหมือนตู้กระจกตามร้านข้าวราดแกงทั่วไปแต่แต่ต่างตรงนี้เค้าเปิดด้านหน้าเอาไว้ให้พนักงานตักอาหารได้เองเลย ด้านหลัง Counter เป็นประตูห้องครัวมองผ่านๆ ดูลึกลับๆ เพราะมันมืด และด้วยสัญชาตญาณมนุษย์ครับเวลาเราเห็นอะไรที่ดูลึกลับๆ เรามักจะอยากมองเข้าไปให้รู้ว่ามันมีอะไร ผมก็เป็นอีกหนึ่งในนั้นผมค่อยๆ มองเข้าไปในช่องของประตูที่มีความมืดสลัวๆ อยู่เพราะแสงเข้าไม่ถึงและเค้าไม่ได้เปิดไฟทุกดวงทันใดนั้นสายตาของผมมันเหลือบไปเห็นเงาๆ หนึ่งเลื่อนผ่านไปแบบเร็วๆ จนผมนึกว่าตาฝาด ลักษณะเหมือนเป็นการเลื่อนผ่านแบบไม่ได้เดินเลยนะครับเพราะมันดูนิ่งมากแต่เป็นการเห็นแค่แบบผ่านๆ เพราะเร็วมาก

ในขณะที่ผมกำลังยืนนิ่งพยายาเพ่งดูอีกทีว่าเป็นอะไรอยู่ๆ เสียงไอ้ชินก็เรียกผม “ไอ้ลม มึงเป็นห่าอะไรมากินข้าวได้แล้วกูหิว” ผมได้สติก็รีบเดินกลับมานั่งที่โต๊ะอย่าง งงๆ พอนั่งลง อยู่ๆ พี่นีก็พูดขึ้นมาว่า “ไม่มีอะไรหรอกกินข้าวได้แล้วเดี๋ยวต้องไปทำเรื่องที่ออฟฟิศอีก” ผม งงๆ เพราะไม่รู้ว่าพี่นีแกรู้ได้ยังไงว่าผมเจออะไรมา ตอนนี้ผมเจอเรื่องแปลกๆ ไปแล้วสองเรื่องกะว่าคืนนี้จะเล่าให้ไอ้ชินมันฟัง

เรากินข้าวกันจนเสร็จก็มาที่ออฟฟิศฝ่ายบุคคลพี่นีก็จัดการเรื่องเอกสารและทำเรื่องรับบัตรพนักงานฝึกหัดก่อนทำเรื่องเข้าพักในหอพักพนักงานให้กับเราจากนั้นพี่นีก็นัดให้พวกเราสองคนมาเริ่มงานในวันพรุ่งนี้ตอน 9 โมงเพื่อจะได้มาเข้า Orentation ก่อนเริ่มงานซึ่งวันพรุ่งนี้จะมีนักศึกษาฝึกงานอีก 5 คนเข้ามาร่วมด้วย ซึ่งรุ่นของผมที่มาฝึกงานนั้นรวมทั้งหมดมีอยู่ 15 คนแต่จะทยอยๆ มา ณ ตอนนี้จะมีผมกับไอ้ชินมาเป็นสองคนแรก ในขณะที่เรากำลังจะออกจากออฟฟิศฝ่ายบุคคลมีสายเรียกเข้ามาหาพี่นี แกยกหูรับสายสักพักแกก็พูดขึ้นว่า “ขอยกเลิกมาฝึกงานที่นี่เหรอคะ..อ้าว!! ทำไมล่ะคะ?​ นัดกันแล้วนี่คะอาจารย์” ผมกับไอ้ชินได้ยินตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องของโรงแรมเขา พี่นีคุยสายต่อสักพักแล้วก็วางสาย ผมและไอ้ชินก็ยกมือไหว้สวัสดีแกแล้วก็จะเดินทางเข้าหอพัก

เราสองคนยังไม่ทันได้เดินออกมาจากออฟฟิศพี่นีแกก็บ่นขึ้นมาลอยๆ ว่า “ดูซิ เพื่อนเธอหายไปอีกแล้ว 3 คน ทางมหาลัยโทรมายกเลิกขอเข้าฝึกงานที่นี่บอกได้ที่อื่นแล้ว ก่อนหน้านั้นก็เพิ่งยกเลิกไปชุดนึง 6 คน” ผมกับไอ้ชินได้ยินก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็ลาแกแล้วก็เดินทางไปหอพักพนักงาน

เราสองคนเดินมาถึงหอพักพนักงานซึ่งอยู่ด้านหลังของโรงแรมตั้งลึกเข้ามาในแทบจะติดป่าด้านหลังที่เป็นเนินเขาครับ เราเดินเข้ามาตามทางบรรยากาศตอนนั้นที่เริ่มจะบ่ายแก่ๆ แล้วด้วยความที่มันอยู่ในเขตป่ามันก็จะดูร่มรื่น สงบๆ เย็นๆ คนที่ชอบบรรยากาศแบบนี้นี่คือสวรรค์เลยนะครับแต่สำหรับผมกับไอ้ชินเราสองคนเป็นคนอยู่ง่ายอยู่ที่ไหนก็ได้เลยไม่ได้สนใจอะไรมากนักเราสองคนตรงดิ่งไปที่ทางเข้าหอ

ไปถึงก็เจอพี่ รปภ. อีกคนหนึ่งที่อยู่ประจำหอพักเราก็สวัสดีแล้วก็แนะนำตัวพี่ รปภ. รับไหว้แล้วก็ทำหน้า งงๆ นิดนึงก่อนถามเรากลับมาว่า “นี่มาฝึกงานเหรอ?” เราสองคนก็ตอบว่า “ใช่ครับพี่? ฝ่ายบุคคลให้กุญแจห้องมาครับอยู่ชั้น 3 ห้อง 302 ครับ” พี่แกก็พนักหน้าแล้วก็ถามย้ำกลับมาว่า “ห้อง 302 เหรอน้อง? ใช่เหรอ” ผมกับไอ้ชินก็ งง แล้วก็หยิบกุญแจที่มีเบอร์ห้องติดอยู่มาให้แกดู “นี่ไงพี่ 302” แกก้มลงดูแล้วก็นิ่งๆ ไป สักพัก ก่อนบอกผมกับไอ้ชินว่า “ เราเป็นพุทธหรือเปล่า?” ผมกับไอ้ชินก็ตอบ “ใช่ครับพี่” พี่แกก็บอกต่อว่า “เออ ก่อนเข้าก็ไปไหว้เจ้าที่กับศาลตา ยาย ข้างๆ ก่อนนะ ไปฝากเนื้อฝากตัวเค้าไว้ก่อน” ผมก็ไอ้ชินก็ตอบ “ได้ครับพี่” เพราะเราก็เข้าใจตรงพิธีนี้อยู่แล้วเลยไม่ได้มีปัญหาอะไร ก่อนจะขอตัวขึ้นห้อง

ขณะที่กำลังจะเดินขึ้นบันไดพี่ รปภ. แกตะโกนเรียกผมกับไอ้ชิน “น้องเดี๋ยว” ผมกับไอ้ชินก็หยุดแล้วหันมาหาแก แล้วแกก็เดินมาทำหน้าจริงจังก่อนบอกผมกับไอ้ชินว่า “เออน้อง ด้านหลังหอเป็นห้องเก็บของห้ามเข้าไปนะ เดี๋ยวใครไม่รู้จะเข้าใจว่ามาขโมยของ” ผมกับไอ้ชินก็ตอบแกไปว่า “ได้ครับพี่”

พอเห็นว่าพี่ รปภ. เริ่มคุยกับเรามากขึ้นผมเลยถามกับไอ้ชินว่า “เฮ้ยมึงลองถามพี่เค้าดูไหมว่าเอสจะมาโรงแรมไหมพรุ่งนี้?” ไอ้ชินมันนึกขึ้นได้ก็เลยบอกผมว่า “เออ จริงหว่ะ เมื่อกี้ก็ลืมถามพี่นีไป” พูดจบไอ้ชินมันก็หันไปถามพี่ รปภ.ว่า “พี่ครับ พรุ่งนี้คุณเอสเข้าโรงแรมไหมครับ?” พี่ รปภ.ถามกลับมาแบบที่ผมกับไอ้ชิน งง ไปเลยคือแกบอกว่า “เอสไหนน้อง?” ไอ้ชินมันก็ตอบแกกลับไปว่า “คุณเอสที่เป็นลูกเจ้าของโรงแรมไงพี่?” พี่ รปภ. แกก็ยังทำหน้า งง จังหวะนั้นมีสายเรียกเข้ามาที่มือถือไอ้ชินพอดีมันเลยรับสายปรากฎว่าปลายสายเป็นเอส

ไอ้ชินมันก็คุยกับเอสประมาณว่า “ตอนนี้มาถึงโรงแรมแล้วกำลังจะเข้าหอพักห้อง 302 “ แล้วมันก็ถามเอสว่า “พรุ่งนี้เอสจะมาโรงแรมกี่โมงจะได้เจอกัน?” พอมันพูดจบเหมือนเอสเงียบไปจนไอ้ชินต้องเรียก “ฮัลโหลเอส เอส เอส อยู่มั้ย?” ก่อนเหมือนเอสจะตอบกลับมาถามไอ้ชินอีกครั้งว่าห้องอะไร? ซึ่งไอ้ชินก็พูดซ้ำไปว่า "ห้อง 302 เอส" ไอ้ชินกับเอสคุยกันสักพักแล้วอยู่ๆ ก็วางสายไป สรุปว่า “เอสจะมาหาเราวันนี้ประมาณ 5 ทุ่ม เพราะไปทำธุระที่ต่างจังหวัดน่าจะมาถึงประมาณนั้นถ้ายังไม่นอนจะมาหาพวกเรา” ไอ้ชินกับผมปกติเราก็นอนดึกอยู่แล้วก็เลยตอบว่ามาหาได้

เราสองคนก็หันไปลาพี่ รปภ.ก่อนขึ้นห้องไปซึ่งพี่เค้าก็เหมือนทำหน้าแปลกๆ ตอนที่เราบอกแกก่อนขึ้นมาว่า “พี่เดี๋ยวคุณเอสมาหาผมสองคนนะครับประมาณ 5 ทุ่ม” แกนิ่งไปไม่ได้พูดอะไรก่อนเราจะขึ้นห้องมา

ผมและไอ้ชินเดินขึ้นบันไดมาที่ชั้น 3 พอประตูลิฟท์เปิดออกผมสองคนค่อยๆ เดินหาห้อง 302 ซึ่งถ้าเอาตามโครงสร้างทั่วไปแล้วห้องเบอร์นี้น่าจะอยู่ห้องแรกๆ ถ้าเรานับตามหลัก 01 02 ไปเรื่อยๆ แต่ที่แปลกคือห้องนี้ของผมกับไอ้ชินมันไปอยู่ติดทางหนีไฟห้องสุดท้ายเลยครับแล้วเป็นห้องเดียวที่ประตูห้องพักเป็นประตูไม้แกะสลักบานใหญ่กว่าคนอื่นมองผ่านๆ ยังเห็นได้ชัดถึงความแตกต่างของประตูห้องเราสองคนกับห้องอื่น

เรามาถึงหน้าห้องพักที่รู้สึกตอนนี้คือเหมือนกับชั้น 3 นี้ “มีห้องผมอยู่ห้องเดียวหรือเปล่าเพราะมันเงียบเกิน” แต่พอสักพักห้องที่ถัดจากห้องผมไป 2 ห้องมีคนเปิดประตูออกมาเป็นพนักงานผู้ชายสองคน เหมือนกำลังจะไปเข้างานผมกับไอ้ชินเห็นก็ยกมือสวัสดีพี่สองคนนั้นซึ่งเค้าก็มองมาแล้วรับไหว้ผมสองคนก่อนหันหลับไปอย่างเร็วแล้วคุยกันในระดับที่ผมกับไอ้ชินได้ยินว่า “เด็กฝึกงานเหรอวะไม่เห็นซะนานแล้วทำไมไปอยู่ห้องนั้นกันวะ” ก่อนที่สองคนจะไปทำงาน

ผมและไอ้ชินตอนนี้เริ่ม งงๆ ในพฤติกรรมของพนักงานทุกคนที่นี่ที่มีต่อเด็กฝึกงานมันดูแปลกๆ แต่ก็เก็บความสงสัยไว้ในใจ เราสองคนไขประตูห้องเข้าไปพอเปิดประตูเข้าห้องปุ๊บอยู่ๆ จังหวะที่กำลังจะหันไปปิดประตูนั้นมีลมพัดมาวูบนึงจนประตูปิดเองดัง ปัง!!!!! ผมและไอ้ชินตกใจสะดุ้งกันอุทานออกมาพร้อมกันว่า “เชี้ยอะไรวะเนี่ยตกใจหมด” ที่ตกใจไม่ใช่อะไรนะครับแต่เพราะตอนที่ผมขึ้นมาชั้นนีไม่มีลมเลยและไม่มีทีท่าว่าจะมีลมแรงขึ้นมาได้แต่ทำไมอยู่ๆ มันดันมีลมวูบนี้พัดมาได้? พอหายตกใจก็หันหน้ามาสำรวจสภาพในห้องต่อซึ่งห้องพักห้องนี้นั้นมันแปลกตรรงที่ปกติหอพักพนักงานทั่วไปจากที่ผมรู้จักมักจะเป็นเตียงสองชั้นเพราะต้องการให้พักด้วยกันได้อย่างต่ำ 4 คน แต่ห้องของผมกับไอ้ชินห้องนี้เป็นเตียงไม้สองเตียงแยกกันอย่างดีที่สำคัญห้องนี้เป็นห้องเดียวที่ “มีห้องน้ำในตัวและไม่ต้องไปใช้ห้องน้ำรวมกับใคร” จนบางครั้งผมสองคนยังมองว่า “นี่มันดีไปหรือเปล่าวะเนี่ยเหมือนห้องพักแขกเลย” แต่ก็คิดต่อไปว่า “น่าจะเป็นเพราะเอสมาแจ้งฝ่ายบุคคลไว้หรือเปล่าว่าเป็นเพื่อนเลยให้ห้องดีมา” ด้วยความที่ไม่ได้สนใจอะไรและความเหนื่อยเราก็วางข้าวของเสร็จผมก้บอกไอ้ชินว่า “เฮ้ย กูขอนอนแป๊บนะ” ไอ้ชินก็ตอบมาว่า “ เออ เดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อน” แล้วเราก็แยกย้ายกันทำธุระ

ผมนอนหลับไปสักพักอยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงไอ้ชินตะโกนดังมาจากห้องน้ำจนผมสะดุ้งตื่นมันตะโกนเรียกชื่อผมดังมากพร้อมร้องเสียงหลง “ไอ้ลมๆ ไอ้เชี้ย ช่วยกูด้วย ไอ้ลม” ผมรีบลุกจากเตียงวิ่งไปที่ห้องน้ำผมตะโกนเรียกไอ้ชิน “ไอ้ชินเปิดประตูเร็วมึงเป็นอะไร” มันตอบกลับมาเสียงแบบตกใจมากว่า “กูเปิดไม่ได้ไอ้ลม ช่วยกูด้วย”

โปรดติดตามตอนต่อไป..

ใคร 3

เรื่องหลอนก่อนนอน EP.3 ตอน “ใคร”


ในขณะที่ผมตกใจและไม่รู้จะช่วยไอ้ชินยังไงผมคิดขึ้นมาได้แว้บหนึ่งว่า “ไปเรียกพี่ รปภ.มาช่วยดีกว่า” ว่าแล้วผมก็ตะโกนบอกมันว่า “ไอ้ชินเดี๋ยวกูมานะเดี๋ยวกูไปตาม พี่ รปภ.มาช่วยมึง” แล้วผมก็รีบวิ่งไปที่ประตูห้องกำลังจะเปิดประตูออกไปแต่อยู่ๆ สิ่งที่ผมตกใจหนักเข้าไปอีกคือ........ ไอ้ชินมันเปิดประตูห้องเข้ามาพอดี ผมตกใจร้อง “เชี้ย” ไอ้ชินก็ตกใจแล้วก็พูดใส่ผมมาว่า “มึงเป็นเชี้ยไรเนี่ย ทำไมตกใจขนาดนั้น” ผมหันหลังกลับไปมองที่ห้องน้ำแล้วก็หันมามองมัน ตอนนั้นผมสับสนไปหมดอารมณ์แบบไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง พลันคิดไปว่า “ถ้าไอ้ชินมันยืนอยู่ต่อหน้าผมนี้แล้วในห้องน้ำนั่นคือ ใคร???” ไอ้ชินเดินเข้าห้องมาในขณะที่ผมเริ่มไม่อยากอยู่ในห้องแล้วตอนนี้ผมเลยบอกมันว่า “ไอ้ชินไปข้างล่างกับกูหนอ่ย”

ตอนนั้นมันเป็นเวลาเกือบ 6 โมงเย็นแล้วจะว่าไปด้วยความที่มันอยู่ในป่าในเขาแต่ก็พอมองเห็นท้องฟ้าสีส้มๆ เวลามองไปทางชายเขาด้วยบรรยากาศธรรมชาติที่ค่อนข้างสดทำให้เวลาเท่านี้มันก็เริ่มจะโพล้เพล้แล้วโบราณว่าไว้ช่วงเวลานี้เป็นช่วง “ผีตากผ้าอ้อม” แม้ผมจะไม่ค่อยได้สนใจอะไรเท่าไหร่แต่ความสับสนตรงนี้ทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า “ตกลงที่นี่มันปกติหรือเปล่า?” ประกอบกับคำที่พี่พนักงานซุบซิบกันตอนเราเจอว่า “ทำไมไปอยู่ห้องนั้นวะ?” มันทำให้ผมอดคิดถึงเรื่องลี้ลับไปไม่ได้

“เออ เดี๋ยวกูไปเยี่ยวก่อน” ไอ้ชินบอกผมแล้วมันก็เดินไปที่ห้องน้ำ ผมรีบวิ่งตามมันไปกะจะเล่าเรื่องเมื่อกี้ให้มันฟังแต่ไม่ทันมันดันเปิดประตูเข้าไปก่อนผมชะโงกหน้าไปดูปรากฎว่า “เป็นห้องน้ำเปล่าไม่มีอะไร?” สภาพพื้นห้องน้ำก็แห้งเหมือนไม่มีคนใช้งานมาก่อน ไอ้ชินเริ่ม งง ตอนนี้มันเลยถามผมกลับมา “มึงจะเยี่ยวกับกูเหรอ?” ผมไม่ได้ตอบอะไรกะว่าเดี๋ยวจะลงไปเล่าให้มันฟังทีเดียวข้างล่าง แต่ใจก็ยังมีคำถามว่า “ถ้านี่คือห้องน้ำเปล่าแถมพื้นไม่เหมือนถูกใช้งานมาก่อนแล้วเสียงเมื่อกี้คือ ใคร? กันนะ?”

เสร็จธุระเรียบร้อยผมกับไอ้ชินก็ลงมาข้างล่างเราเดินไปใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งมีโต๊ะหินอ่อนอยู่พอนั่งลงผมก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงผมเริ่มสาธยายให้ไอ้ชินฟังถึงเหตุการณ์แปลกๆ ที่ผมเจอตั้งแต่ ภาพกล่องอาหารพร้อมธูปและรูปปั้น เสียงคนเรียกหน้าห้อง canteen และที่สำคัญคือเหตุการณ์ในห้องน้ำ ตอนแรกผมกะว่าไอ้ชินมันคงบอกว่าผมคิดมากไปเองเพราะมันเองก็ไม่ค่อยได้เชื่อเรื่องลี้ลับพวกนี้เท่าไหร่แต่ผิดคาดพอฟังเสร็จมันนิ่งไปแล้วพูดขึ้นมาว่า “ไอ้ลม กูมีเรื่องจะบอกมึงเหมือนกัน”

ในขณะที่ไอ้ชินกำลังจะเล่าเรื่องที่มันจะบอกผม อยู่ๆ ผมสองคนก็ได้ยินเสียง “ช่วยด้วย” ดังมาจากด้านหลังหอพักซึ่งเป็นส่วนของห้องเก็บของที่พี่ รปภ. สั่งเราหนักหนาว่า “อย่าเข้าไป” ผมหันไปถามไอ้ชิน “มึงได้ยินเหมือนที่กูได้ยินมั้ย?” ไอ้ชินรีบตอบกลับมาเลยว่า “เออ กูได้ยิน แต่พี่ รปภ. เค้าห้ามเรานี่หว่าเราอย่าไปยุ่งเลย” ผมก็ตอบมันไปว่า “แต่เค้าร้องให้ช่วยนะเว้ย?” ยังไม่ทันคิดให้จบว่าจะทำยังไง เสียงนั้นดังมาอีกเพียงแต่ตอนแรกเสียงเป็นผู้ชายแต่รอบนี้เสียงกลับเป็นผู้หญิงแทนซะงั้น เป็นเสียงที่เยือกเย็นปนแข็งกร้าวว่า “อย่าทำหนูเลยพี่?” รอบนี้ผมกับไอ้ชินเริ่มไม่ไหวผมเลยพูดกับมันว่า “กูว่าเราไปบอกพี่ รปภ. ดีกว่าหว่ะ

แล้วเราสองคนก็รีบวิ่งไปจากตรงนั้นไปที่พี่ รปภ.อยู่ ไปถึงก็รีบบอกพี่เค้าที่ตอนนี้มีพี่ รปภ.อีกคนหนึ่งเข้ามาเปลี่ยนกะเพราะพี่คนแรกแกเหมือนจะขอออกก่อนเวลา “พี่ๆ เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงผู้หญิงกับผู้ชายร้องขอความช่วยเหลือมาจากหลังหอพักครับ พี่บอกไม่ให้ผมเข้าไปผมเลยมาบอกพี่ช่วยไปดูหน่อยก็ดีนะครับ?” พอพูดจบพี่สองคนมองหน้ากันแล้วก็พูดขึ้นมาพร้อมกันว่า “เอาอีกแล้วเหรอวะ?” ผมกับไอ้ชินได้ยินก็ งง ว่า “อะไรคือเอาอีกแล้ว?”

พี่รปภ. สองคนเห็นผมกำลัง งง อยู่ก็เลยเรียกสติ “เออๆ เดี๋ยวพี่ไปดูเอง ขอบใจมาก แล้วไม่ต้องเข้าไปล่ะแถวนั้นน่ะมันรกเดี๋ยวมีงูมีสัตว์อันตราย?” ผมสองคนก็ตอบ “ครับๆ ไปแบบ งงๆ” เพราะดูท่าทางพี่เค้าไม่ได้รีบร้อนอะไรเลยที่จะไปดูตามที่ผมบอก

ไอ้ชินมันรู้ว่าผมเริ่มสงสัยและมีอารมณ์ไม่พอใจนิดๆ ที่พี่เค้าไม่ได้สนใจไปดูเสียงที่ขอความช่วยเหลือนั้นมันรีบดึงแขนเสื้อผมแล้วบอกว่า “ไปเหอะไอ้ลมขึ้นห้องดีกว่าไปเก็บของกัน” ผมด้วยความเป็นเด็กใหม่ก็ไม่อยากทำอะไรให้พี่ รปภ. เค้าไม่สบายใจและรู้สึกว่าผมสั่งเขาผมกับไอ้ชินก็เลยกลับขึ้นห้อง

อาการตอนนี้ด้วยความหงุดหงิดว่าทำไมพี่ รปภ. ไม่รีบไปดูผมลืมเหตุการณ์ในห้องน้ำไปซะสนิทเลย เราสองคนกลับขึ้นมาที่ห้อง ทันทีที่มือของผมหยิบกุญแจไขเข้าไปในห้องพอประตูห้องเปิดออกผมก็ต้องตกใจอีกครั้งเพราะที่พื้น “มีรอยเท้าที่เปียกน้ำเป็นทางออกมาจากห้องน้ำรอบเท้านั้นยังเหมือนเดินมารอบๆ เตียงของพวกเราสองคนแต่เป็นรอยจางๆ ที่ถ้าไม่สังเกตแบบผมจะไม่เห็น

ผมรีบบอกไอ้ชินและชี้ให้มันดูก่อนถามมันว่า “มึไม่ได้เช็ดเท้าเหรอตอนออกจากห้องน้ำ?” ไอ้ชินตอบกลับมาว่า “ไม่แน่ใจหว่ะแต่กูก็ว่ากูเช็ดแล้วนะ เราสองคนยืน งง อีกครั้ง ก่อนผมจะถามมันขึ้นมาเพราะนึกขึ้นได้ว่า มันบอกว่ามันมีเรื่องจะบอกผม

“เออ เมื่อกี้มึงบอกมีอะไรจะบอกกูนะ?” มันหันมามองหน้าผมแล้วตอบว่า “เมื่อกี้กูโทรหาเอส กะว่าจะบอกว่าคืนนี้ไม่ต้องมาก็ได้ แต่เป็นเสียงผู้หญิงรับสายเบอร์เอส ตอนแรกกูคิดว่ากูโทรผิดกูเลยขอโทษแล้ววางสายก่อนที่จะโทรไปใหม่เบอร์เดิมที่เป็นเบอร์ของเอสนี่แหละกูมั่นใจ แต่ก็ยังเป็นผู้หญิงรับสายเหมือนเดิม” กูเลยถามไปว่า “นี่เบอร์เอสใช่ไหมครับ? ผมเพื่อนเอสนะครับขอสายเอสหน่อยครับ”

ปรากฎว่าผู้หญิงคนนั้นร้องไห้แบบโหยหวนเลยมึงแล้วอยู่ๆ ก็วางสายใส่กูไป” ผมได้ฟังตรงนี้ก็ งง เหมือนกับมันแต่เหมือนยังไม่จบ มันเล่าต่อว่า “กูอยากแน่ใจกูเลยโทรไปอีกทีแต่รอบนี้เอสรับสายกูเลยถามเอสไปว่า คืนนี้ที่จะมามันดึกแล้วมาพรุ่งนี้แทนเลยได้ไหม?” เอสตอบกลับกูมาว่า “ไม่เป็นไรอยากพาไปกินข้าวต้มโต้รุ่งแถวนี้เพราะเพิ่งกลับจากต่างจังหวัด หิว อยากกินข้าว ตอนนี้ถึงกลางทางแล้ว” กูเห็นว่าเอสจะมาจริงๆ ก็เลยไม่ได้อะไรกะว่าจะมาบอกมึงนี่แหละส่วนเรื่องผู้หญิงกูก็ถามเอสไปนะและเล่าให้ฟังว่ามีผู้หญิงมารับสายเอส ปรากฎว่าเอสมันหัวเราะแล้วบอกหนักแน่นเลยนะว่า “ไม่มีนะ โทรศัพท์อยู่กับเอสตลอด” กูก็เลย งง ว่า “แล้วสองรอบที่รับนี่ ใคร? วะ”

โปรกติดตามตอนต่อไป..

ใคร

 เรื่องหลอนก่อนนอน ตอน ใคร? จบบริบูรณ์


ผมและไอ้ชินพยายามหาคำตอบหลายๆ อย่างเกี่ยวกับสิ่งแปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกเราตั้งแต่มาที่นี่ทั้งคำพูดของพี่ รปภ.ฝั่งโรงแรม และ พี่พนักงาน ที่ดูเหมือนกับว่าที่นี่จะไม่เคยมีนักศึกษาฝึกงานมานานแล้ว? หรือแม้แต่เหตุการณ์ประหลาดทั้งเสียคนร้องให้ช่วยหลังหอ เสียงผู้หญิงที่รับโทรศัพท์ของเอส และที่สำคัญเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องน้ำระหว่างที่ไอ้ชินมันไม่อยู่ เราสองคนพยายามคิดทบทวนกันว่าหรือนี่จะเป็นสิ่งลี้ลับที่เกิดขึ้นกับพวกเรา แต่ยังไม่ได้คำตอบด้วยความที่เราสองคนเหนื่อยมากก็เลยเผลอหลับไป

เสียงโทรศัพท์ของไอ้ชินดังขึ้นมันลุกมารับสายซึ่งเป็นสายของเอสที่บอกว่ามาถึงบ้านแล้วเดี๋ยวขอเก็บของก่อนแล้วจะออกไปหาที่หอพัก พอไอชินวางสายเสร็จแล้วก็ปลุกผมว่า “เฮ้ยไอ้ลม เอสมาถึงแล้วเดี๋ยวน่าจะเข้ามาสักพัก ไปล้างหน้าล้างตากันหว่ะ กูยังไม่อาบน้ำนะรอกินข้าวกลับมาแล้วเดี๋ยวอาบทีเดียว” ผมก็สะลึมสะลือตื่นขึ้นและเดินไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าโดยลืมเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อตอนเย็นไปสนิท ก่อนไปก็เหลือบมองนาฬิกาเป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้วนี่ถ้าไม่ติดว่านัดเอสไว้ก่อนหน้านั้นผมคงปฎิเสธไปแล้ว

เราสองคนล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ลงมารอด้านล่างพอมาถึงก็เจอพี่ รปภ.กำลังนั่งดู youtube อยู่เราก็ทักทายแก “สวัสดีครับพี่ ผมมาฝึกงานที่นี่ครับเพิ่งมาวันแรกฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะพี่” ก็กะว่าจะชวนแกคุยเล่นแต่พอได้ยินคำว่าฝึกงานแกรีบหันมาแล้บอกกับผมว่า “เฮ้ย...มาฝึกงานจริงเหรอวะ? ที่นี่ไม่มีใครเค้ามาฝึกงานกันนานแล้ว?” ผมกับไอ้ชินมองหน้ากันแล้วก็เริ่มเอะใจเพราะพี่เค้าน่าจะเป็นคนที่สามแล้วที่เราได้ยินคำทักแบบนี้ ด้วยความสงสัยและเริ่มอยากรู้จริงๆ แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นผมกะว่าจะถามพี่เค้าตรงๆ ให้รู้ดำรู้แดงไปเลยว่าแล้วก็เลยตัดสินใจกำลังจะอ้าปากถามพี่แกแต่ก็ต้องหยุดแทบไม่ทันเพราะมีเสียงเรียกมาจากด้านหลัง “ชิน ลม กูมาแล้ว” ผมกับไอ้ชินหันหลับกลับไปมองปรากฎว่าเป็นเอสที่มาถึงเรียบร้อยแล้วยืนอยู่ด้านหลังห่างจากที่เราอยู่ประมาณ 3-4 เมตร เราเลยไม่ได้ถามแล้วกำลังจะหันหลังกลับเพื่อเดินไปหาเอส พี่ รปภ. แกก็เหมือนกำลังตั้งใจจะฟังอยู่ว่าเราจะถามอะไรเหมือนแกก็อยากให้ถามนั่นแหละครับแต่พอเราไม่ถามแกก็เลยไม่บอกอะไร

ผมกับไอ้ชินเดินมาหาเอสที่ยืนรออยู่พวกเราทักทายกันแล้วไอ้ชินก็ถามเอสไปว่า “จะพากูไปกินอะไรวะเอสดึกแล้วนะนี่ตอนนี้” เอสตอบกลับมาว่า “กูซื้อของกินมาแล้วเดี๋ยวนั่งกินที่นี่แหละขี้เกียจออกไปแล้วหว่ะเพราะร้านประจำกูวันนี้ปิด” แล้วพวกเราสามคนก็พากันไปเอาของที่รถของเอสแล้วก็ไปนั่งกินกันที่โต๊ะหินอ่อนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งถัดไปจากเรามีพี่พนักงานผู้ชายกำลังนั่งคุยกันอยู่เหมือนกัน พวกเราก็ยิ้มทักทายให้พวกพี่ๆ เค้า พี่เค้าก็ยิ้มกลับมาแบบ งงๆ

พอเรานั่งลเอสก็จัดแจงแกะอาหารที่มันซื้อมาใส่จานกระดาษเรียบร้อยแล้วเอสก็เริ่มกินอาหารส่วนผมกับไอ้ชินเรายังไม่ได้เริ่มกินเพราะตอนนี้ในใจมีเรื่องที่อยากรู้และสนใจมากกว่าอาหารตรงหน้าและด้วยความสงสัยผมก็ถามเอสขึ้นมาว่า “เอส กูถามอะไรมึงหน่อยได้มั้ยวะ” เอส ที่กำลังกินข้าวอยู่ก็ตอบกลับมา “เออ ว่า” ผมมองหน้าไอ้ชินที่ตอนนี้เหมือนพยายามจะห้ามผมไม่ให้ถามอาจด้วยเพราะเกรงใจเพื่อนหรือยังไงนี่แหละแต่ผมก็อดไม่ไหวเพราะมันเจอมาเยอะเกินวันนี้

วันนี้ตอนกูมาถึงกูเจอแต่เรื่องแปลกๆ ที่นี่หว่ะ พอพูดจบเอสมันวางช้อนแล้วเงยหน้าขึ้นมองผมกับไอ้ชินทันที “มึงเจออะไรบอกกูมา” หน้าตามันดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ผมกับไอ้ชินมองหน้ากันแล้วตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้เอสฟัง

“เอส ตอนกูมาถึงกูเผลอหลับไป พอตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงไอ้ชินร้องให้ช่วยมาจากในห้องน้ำ กูสาบานเลยนะเว้ยว่ากูได้ยินเสียงมันจริงๆ กูพยายามเปิดประตูก็เปิดไม่ออกเลยจะวิ่งไปตามพี่ รปภ.มาช่วย แต่พอกูเปิดประตูไอ้ชินมันกลับมาพอดีแล้วคนในห้องน้ำนี่ใครวะ?” เอสเริ่มนั่งหลังตรงและเพิ่มความสนใจมากขึ้น คิ้วเริ่มขมวดติดกันผมเลยเล่าเรื่องต่อ “อีกเรื่องนะเว้ยเอส ตอนกูกับไอ้ชินลงมานั่งที่ใต้ต้นไม้ตรงนั้น (ชี้ให้เอสดู) กูสองคนได้ยินเสียงตอนแรกเป็นเสียงผู้ชายร้องให้ช่วยสักพักเป็นเสียงผู้หญิง” กูเดินไปบอกพี่ รปภ.ให้ไปดูแต่เหมือนเค้าไม่ได้สนใจหว่ะ ตกลงที่นี่มีอะไรวะ?”

เอสมันเริ่มเครียดเลยตอนนี้แล้วหยุดนิ่งไปพักนึงก่อนมองหน้าผมสองคนแล้วตอบว่า “กูจะเล่าให้มึงฟังถ้าพวกมึงอยู่ไม่ได้คืนนี้เดี๋ยวมึงไปนอนบ้านกูก่อนก็ได้” ผมกับไอ้ชินเริ่มใจไม่ค่อยดีเพราะขึ้นต้นมาแบบนี้แสดงว่ามีอะไรไม่ธรรมดาแน่นอน

เรื่องห้องน้ำนี่กูไม่รู้หรอกแต่เรื่องห้องด้านหลังเนี่ย มีอยู่ปีนึงมีนักศึกษาฝึกงานผู้ญิงมาฝึกงานแล้วไปชอบกับพนักงานของกูคนหนึ่งก็คบกัน ผ่านไปประมาณ 2 เดือนเหมือนผู้ชายมีเมียอยู่แล้วทีนี้เมียเค้าจับได้ก็เลยให้เลือกว่าจะเอาน้องผู้หญิงคนนี้หรือจะเลือกเมียกับลูกฝ่ายผู้ชายเค้าก็เลือกเมียกับลูกก็เลยกะว่าจะนัดมาเคลียร์กันแต่พอมาจริงๆ น้องเด็กฝึกงานผู้หญิงดันท้องแล้วไม่ยอมเลิก น้องเค้าขู่ผู้ชายว่าถ้าเลิกจะไปแจ้งฝ่ายบุคคลและประจานทีนี้ก็เถียงกันผู้ชายน่าจะมีลงไม้ลงมือกับผู้หญิงด้วยสักพักเหมือนผู้หญิงเลือดขึ้นหน้าโมโหขาดสติก็เลยไปคว้ามีดที่คนสวนลืมเก็บไปตอนไปตัดต้นไม้ตรงนั้นฟันเข้าไปที่ผู้ชายน่าจะโดนเส้นเลือดใหญ่แถวๆ ข้างต้นคอทำให้เสียเลือดมากซึ่งผู้ชายก็ร้องให้คนช่วยสักพักก็เงียบไป พอจังหวะที่ รปภ.วิ่งไปปรากฎว่าผู้หญิงเอามีดปาดคอตายตามไป หลังเหตุการณ์นั้นกูก็ทำบุญใหญ่เลยที่หอพักแต่ก็ยังมีคนได้ยินเสียงบ้างเป็นบางครั้ง เอาจริงๆ กูคิดว่าเค้าไปเกิดแล้วนะเพราะหลังๆ ไม่ค่อยมีคนได้ยินแล้วจะมีก็แต่มึงนี่แหละ

ผมกับไอ้ชินถึงบางอ้อก็เลยถามเอสไปอีกเรื่องนึงว่า “เฮ้ย เอส กูถามอีกอย่าง” เอส ทำหน้าตกใจตอบกลับมาว่า “นี่มึงยังไม่หมดอีกเหรอ?” ผมเลยเล่าว่า “ตอนกูมาถึงกูเดินไปที่ HR กูเห็นกล่องข้าวกับธูปและตุ๊กตาตั้งอยู่ตรงข้างทางเดินแต่พอกูหันไปจะเรียกไอ้ชินให้หันมาดูปรากฎว่าของทั้งหมดหายไปแล้ว อันนี้คืออะไรวะ?” เอส ตกใจมากแล้วรีบเอื้อมมือมาจับแขนผมเขย่าแล้วถามว่า “แล้วมึงได้เข้าไปหยิบอะไรมาหรือเปล่า? มึงไปหยิบมามั้ย?” ผมเริ่มตกใจเพราะเอสดูจริงจังมาก “เฮ้ย พอก่อนๆ กูไม่ได้หยิบอะไรมา ก็กูบอกอยู่ไงว่าอยู่ๆ มันก็หายไป” พอพูดจบเอสก็ถอนหายใจแล้วก็เล่าให้ฟังว่า “มีอยู่ครั้งนึงโรงแรมกูเหมือนซวยหว่ะ หลังจากเคสน้องฝึกงานกับพนักงานจบไปปีต่อมา มีอีกเคสหนึ่งคือน้องฝึกงานผู้หญิงเค้ามีแฟนแล้วและเป็นเหมือนนักเลงหน่อย ทีนี้น้องมันดันไปคบกับพนักงานผู้ชายของโรงแรมกูคือก็ชอบๆ กันแหละเพราะน้องมันก็เหมือนเบื่อแฟนมันที่อารมณ์ร้าย ทีนี้แฟนมันรู้เลยมาดักรอหน้าโรงแรมทำทีว่าเป็นแขกแล้วเดินมาตรงทางเข้า-ออกพนักงาน พอสองคนนี้เดินออกมา แฟนน้องมันเห็นแล้วบันดาลโทสะเอาปืนที่พกมายิงน้องสองคนนี้ตายตรงนั้นแหละแล้วหนีไปแต่สุดท้ายตำรวจจับได้ตอนนี้อยู่ในคุก

ผมและไอ้ชินได้ฟังนี่พูดไม่ออกเลย พลันคิดไปว่า “หรือนี่จะเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ที่นี่ไม่มีนักศึกษาฝึกงานมานานแล้วอาจจะด้วยกลัวอาถรรพ์ของ ตัวตายตัวแทน หรือเปล่า?”

เอสเห็นผมกับไอ้ชินเหมือนจะช๊อคกับเรื่องที่ได้กินซึ่งตอนนี้ข้าว ปลา อาหารต่างๆ ที่เอสเอามาให้ผมสองคนเหมือนกินกันไม่ลงแล้วครับและที่สำคัญเราเริ่มไม่อยากนอนที่หอพักพนักงานห้องนั้นแล้วก็เลยคุยกันสามคนว่าจะไปนอนบ้านเอสแล้วผมกับไอ้ชินก็บอกเอสว่า “เดี๋ยวขอไปเก็บของแป๊บนะ” เอสเลยบอกว่าเดี๋ยวมันจะไปรอที่รถ แล้วผมสองคนก็รีบลุกออกมาแล้วเดินไปที่ทางขึ้นห้อง

พอเดินมาถึงบันไดกำลังจะเดินขึ้นห้องพี่ รปภ. เหมือนจะเป็นคนละคนกับที่เจอตอนแรกหรือเปล่าไม่แน่ใจเพราะผมสองคนก็ไม่ค่อยได้สังเกตหน้าตาว่าคล้ายกันไหม? แต่รู้สึกไม่เหมือนกันซึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่ามีจุดอื่นมาเปลี่ยนให้จุดนี้ไปเข้าห้องน้ำทำธุระแกก็เดินตรงดิ่งเข้ามาถามด้วยหน้าตาสงสัยว่า “จะไปไหนกันเหรอน้อง” ไอ้ชินก็ตอบแกไปว่า “เดี๋ยวผมว่าจะไปนอนบ้างเพื่อนหน่อยพี่คนที่มากินข้าวด้วยกันกับผมน่ะครับ” พี่ รปภ. ทำหน้า งง แล้วถามว่า “เฮ้ย พี่เห็นเอ็งนั่งกันอยู่สองคนเองนะ” ผมและไอ้ชินขณะที่กำลังจะก้าวขาขึ้นบันไดนี่ก้าวขาค้างเลยครับก่อนหันมามองหน้าพี่ รปภ. แล้วไอ้ชินก็พูดเสียงแข็งกลับไปว่า “พี่...เพื่อนผมนั่งกินอยู่กับผมนั่นน่ะพี่ไม่เห็นเหรอ ผมคุยกันตั้งนาน” พี่ รปภ.ก็ งง สักพักแล้วพึมพำขึ้นมาว่า “เอาอีกแล้ว” ผมและไอ้ชินสงสัยก็เลยถามแกกลับไป “เอาอีกแล้วอะไรครับพี่?”

พี่ รปภ.ถามกลับมาว่า “เพื่อนเอ็งชื่ออะไรเหรอ” ไอ้ชินเริ่มหัวเสียนิดๆ ประมาณว่า “เพื่อนผมเป็นเจ้าของโรงแรมพี่ไม่รู้เลยเหรอ” พี่ รปภ. ตอนนี้แกถึงบางอ้อก็เลยเรียกผมกับไอ้ชินให้หยุดก่อนแล้วบอกว่า “น้อง...พี่จะเล่าอะไรให้ฟังเชื่อไม่เชื่อแล้วแต่นะ?” ผมกับไอ้ชิน นาทีนี้ เต็มไปด้วยความสงสัยยังไงก็ต้องฟังแล้วครับเราสองคนเลยหันกลับมายืนฟังพี่ รปภ.

“คุณเอส ลูกชายเจ้าของโรงแรมนี้แกเสียไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วนะน้อง รถแกเกิดอุบัติเหตุพลิกคว่ำตอนแกพาแฟนไปเที่ยวเสียชีวิตทั้งคู่ ถ้าน้องไม่เชื่อพี่ตอนนี้น้องลองหันกลับไปดูดิว่าคุณเอสอยู่ตรงนั้นไหม?”ผมกับไอ้ชินตอนนั้นอาการคือเข่าอ่อน ปากคอสั่น น้ำตาคลอเบ้าหลายความรู้สึกมันปะปนกันครับ ทั้งกลัว ทั้งเสียใจ ทั้งสับสน อาการเข่าทรุดมันเป็นแบบนี้นี่เอง

ผมกับไอ้ชินหันมองหน้ากันแล้วตัดสินใจว่า “จะลองหันมองกลับไปดูเพราะตอนเราลุกมาเอสยังนั่งอยู่ยังไม่ได้เดินไปที่รถ” ผมกะว่ายังไงถ้าหันไปอย่างช้าน่าจะเห็นเอสค่อยๆ เดินไปที่รถเพราะช่วงเวลาที่ผมลุกและเดินมาที่บันไดทางขึ้นหอกับระยะทางของรถที่จอดไว้กับที่นั่งของพวกเรายังไงเอสเดินไปไม่ถึงแน่นอน

ผมกับไอ้ชินค่อยๆ หันหน้าไป ปรากฎว่าสิ่งที่เราเห็นคือ “โต๊ะที่ว่างเปล่าไม่มีแม้แต่อาหารเลยแม้แต่นิดเดียว ผมกับไอ้ชินทรุดตัวนั่งลงกับพื้นเลยพี่ รปภ.ต้องรีบเข้ามาพยุงแล้วพาผมไปนั่งที่เก้าอี้แล้วค่อยๆ ปลอบพวกเราสองคน “เฮ้ยน้องใจเย็นๆ นะ ใจเย็นๆ หายใจเข้าลึกๆ” ผมกับไอ้ชินนั่งอยู่สักพักจนเริ่มตั้งสติได้โดยมีพี่ รปภ. คอยปลอบใจ พอเราสองคนเริ่มมีสติกลับมาแล้วผมหันไปถามไอ้ชินว่า “กูจะถามเรื่องห้องน้ำในห้องเรากับพี่เค้านะมึงว่าไง? ตอนนี้กูไม่มีอะไรจะเสียและไหนๆ ก็รู้ให้แม่งหมดเลยดีกว่า” ไอ้ชินตอนนี้ที่ยัง งงๆ อยู่แต่ก็ตอบกลับมา “แล้วแต่มึงเลย” จากนั้นผมจึงหันไปหาพี่ รปภ.และเล่าเรื่องที่ผมเจอเกี่ยวกับห้องน้ำในห้องพักของผมสองคนให้แกฟัง

พี่แกฟังจบก็ถอนหายใจ น้ำเสียงอ่อยลงและค่อยๆ เล่าว่า “คุณเอสแกน่าสงสารคบแฟนทีไรมีเหตุทุกที ห้องที่พวกน้องสองคนอยู่น่ะเมื่อปีก่อนโน้นเป็นของน้องฝึกงานคนหนึ่งที่คุณเอสแกคบอยู่ น้องฝึกงานคนนี้อยู่แผนกครัวทำอาหารเก่ง คุณเอสแกรักมากพาเข้าบ้านกะว่าจะแต่งงานเลยแหละเลยสั่งปรับปรุงห้องพักนี้ให้พิเศษกว่าห้องอื่นเพราะบางทีแกก็มาอยู่ด้วย คุณนี ฝ่ายบุคคลนี่แหละเป็นคนดูแลเรื่องนี้ อยู่มาวันหนึ่งน้องคนนี้แกเป็นลมล้มหัวฟาด Counter ในห้องน้ำสลบไปกว่าคนจะไปเจอก็ตอนคุณเอสโทรไปหาแล้วไม่รับหลายสายจนผิดสังเกต ไปถึงก็รีบนำส่ง รพ. แต่หมอช่วยไว้ไม่ทัน”

พอได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้ผมกับไอ้ชินก็ถึงบางอ้อแล้วก็ตัดสินใจว่าวันนี้เราจะนอนอยู่ด้านล่างที่เป็นส่วนนั่งเล่นของพนักงานที่หอนี่แหละแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะรีบขึ้นไปเก็บของแล้วออกไปเช่าห้องอยู่ที่อื่นหรือจะลองโทรหาอาจารย์ว่าเปลี่ยนที่ฝึกงานได้ไหม ผมและไอ้ชินเลยบอกพี่ รปภ. ไปว่าจะนอนตรงนั้น แกก็ไม่ได้ว่าอะไร เราสองคนไปนั่งทบทวนเหตุการณ์อยู่สักพักก็ ง่วง จนหลับไป

ตื่นมาอีกทีก็เป็นเวลาเกือบ 8 โมงแล้วผมกับไอ้ชินกะว่าจะรีบขึ้นห้องไปอาบน้ำและเก็บของก็เลยมองหาพี่ รปภ.ว่าจะขอบคุณแกแต่ก็ไม่เห็น กลายเป็นพี่ รปภ. คนใหม่ คาดว่าแกน่าจะเปลี่ยนกะออกไปแล้วแต่ไม่ได้บอกผมเพราะไม่อยากกวนพวกเรา แต่เพื่อความแน่ใจเผื่อแกจะยังไม่ได้กลับบ้านและอยู่แถวๆ นี้ผมเลยกะว่าจะไปขอบคุณแกเลยไปถาม พี่ รปภ. คนนั้น “พี่ครับ ... พี่ รปภ. กะกลางคืนกลับแล้วเหรอครับ” พี่มองดูผมกับไอ้ชินแล้วส่ายหัวก่อนทำหน้า งง แล้วถามกลับมาแบบมีเลศนัย “น้องหมายถึง รปภ. ผอมๆ สูงๆ ผมสั้น ตัวคล้ำๆ ใช่มั้ย?” ผมตอบว่า “ใช่ครับ” พี่เค้าก็พูดโพล่งออกมาเลย “น้อง... พี่คนนั้นน่ะเป็น รปภ. เก่า แกหลับยามแล้วไหลตายไปตั้งนานแล้วนะน้อง นี่เจออีกแล้วเหรอเนี่ย” ผมกับไอ้ชินนี่ตกใจและหลอนกันอีกครั้งครับก่อนถามย้ำ “พี่.. เมื่อคืนผมยังคุยกับแกอยู่เลย แกอยู่กะกลางคืนเมื่อคืนนะพี่” พี่ รปภ. แกตอบกลับมา “น้อง...พี่อยู่กลางคืนคนเดียวตั้งแต่เมื่อคืนมาตลอด ไม่มีใคร ตอนเย็นพี่มาต่อรอบพี่ยังเห็นน้องสองคนอยู่เลย น้องจำพี่ไม่ได้เหรอ? เมื่อคืนพี่ไปเข้าห้องน้ำกลับมาเห็นเอ็งสองคนหลับอยู่เลยไม่อยากปลุกนึกว่าเมาเข้ามาจากข้างนอก”

เป็นอีกครั้งที่ผมกับไอ้ชินเข่าทรุดลงกองกับพื้นทั้งคู่แล้วมีคำถามตัวโตๆ ในใจพร้อมความสงสัยว่า “ถ้าพี่เค้าอยู่กะกลางคืนแล้วคนที่ผมคุยด้วยเมื่อคืนเป็นวรรคเป็นเวรนั้นคือ....ใคร??????”

ปล. ทั้งหมดนี้มันคือนิยายนะครับไม่ใช่เรื่องจริงๆ อ่านเล่นๆ เพลินๆ นะทุกคน ฝันดีครับ

บทความแนะนำ