เรื่องเล่านิยายก่อนนอน Part II
ผมเริ่มต้นกลับเข้าไปทำงานใหม่ในตำแหน่ง Room Service ครับซึ่งหลังจากที่สถานการณ์โรงแรมกลับมาดำเนินการได้ตามปกติช่วง High Season อย่างที่เราชาวโรงแรมรู้กันครับว่าเป็น “ช่วงเวลาทำเงิน” ของพี่น้องโรงแรมทุกคน ตั้งแต่เจ้าของโรงแรมยันพนักงานโรงแรมรวมถึงธุรกิจท้องถิ่นต่างๆ ที่ตั้งหน้าตั้งตารอช่วงเวลานี้กันอยู่แล้วแต่ในปีนี้มันเป็นปีที่พิเศษหน่อยเพราะหลายคนบอบช้ำมาจากวิกฤตสึนามิที่พึ่งผ่านไป ดังนั้นกลยุทธ์การขายหรืออะไรต่างๆ ที่แปรเปลี่ยนเป็นเงินได้จะถูกนำออกมาใช้กันในช่วงนาทีทองแบบนี้
สำหรับเนื้องานของผมนั้นคงไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากนะครับเพราะหลายคนน่าจะรู้อยู่แล้วเกี่ยวกับความรับผิดชอบของหน้าที่แต่สิ่งที่ผมจะเล่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างทำงานซึ่งผมไม่เคยลืมมันเลยจนถึงทุกวันนี้ครับ
ต้องบอกก่อนว่าแผนกของผมจะมีเพื่อนร่วมตำแหน่งอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 คนสลับหมุนเวียนกะกันไปตามนโยบาย “ประหยัดแรงงาน” ตอนนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าจำนวนพนักงาน Room Service เท่านี้มันมากไปหรือน้อยไปไหมแต่ถ้าจะพูดกันถึงเนื้องานบางทีเราก็รู้สึกยุ่งกันมากจริงๆ จนแทบไม่มีเวลาได้พัก ได้กินข้าวกันเลยแต่บางช่วงก็แทบไม่ค่อยมีงานกันเลยนั่งตบยุงตายกันเป็นกอง จะว่าไปส่วนตัวผมก็รู้สึกปกตินะครับเพราะมันก็มีคนปฎิบัติงานอำนวยความสะดวกให้แขกทุกรอบ ส่วนใหญ่ช่วงเช้าแขกมักจะไม่ค่อยสั่ง Room Service เท่าไหร่ต่อให้มี ABF on request ไปบนห้องก็ไม่เยอะซึ่งส่วนใหญ่ Waiter หรือ Waitress ก็จะจัดการตรงนี้ได้ถือว่าช่วยกันไปเพราะนโยบายเค้าไม่ต้องการให้มีพนักงานมากเพื่อ Service Charge เวลามาแบ่งกันมันจะได้จำนวนเยอะหน่อย ส่วนใหญ่งานของผมจะไปเยอะอยู่ที่รอบบ่ายกับรอบดึกเป็นหลักครับ
ปกติแล้วผมจะทำงานรอบบ่ายเป็นหลักสลับกับเพื่อนอีกคนหนึ่งแต่เวลาวันหยุดวันลาเราก็ตกลงกันเองไม่ค่อยมีปัญหาด้วยความที่คนมันน้อยครับและจากการเป็น Room Service มันเลยทำให้เราค่อนข้างที่จะต้องทำงานใกล้ชิดกับแผนกครัวซึ่งจากการที่ผมต้องทำงานช่วงบ่ายค่อนข้างบ่อยทำผมได้รู้จักกับ “พี่เดช” ซึ่งเป็น Chef ที่จะเข้ากะบ่ายเป็นส่วนใหญ่เหมือนกับผมและบางครั้งก็มีบ้างที่แกต้องเข้ากะดึกเวลาลูกน้องแกหยุดหรือคนไม่พอเพราะโรงแรมผมนั้น Room Service เป็นแบบ 24 ชั่วโมงเอาจริงๆ ช่วงกลางคืนผมก็เคยได้ Order บ้างหลักๆ ก็ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ที่มีบอลเตะนั่นแหละครับส่วนวันอื่นๆ แม้จะไม่ได้เยอะเท่าไหร่ ส่วนงานของ Chef รอบดึกจะไม่ค่อยเยอะแต่จะหนักไปทางการที่ต้องเตรียมอาหารในไลน์ Buffet ต่อเช้ามากกว่า
พี่เดชแกเป็นคนพื้นที่ซึ่งทำงานมาตั้งแต่รุ่นบุกเบิกโรงแรมและด้วยความที่แกเป็นคนที่อยู่มาตั้งแต่แรกพี่เดชแกก็จะเห็นความเป็นไปของโรงแรมตั้งแต่ก่อสร้างเรื่อยมาจนถึงวันที่เกิดเหตุการณ์น่าสลดช่วงสึนามิซึ่งตอนนั้นพี่เดชเองแกก็เป็นอีกคนที่โชคดีไม่ได้ไปทำงานเพราะเป็นวันหยุดของแกแตกต่างจากเพื่อนของแกอีกคนที่เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ซึ่งพี่เดชบอกว่าในความสะเทือนใจจากเหตุการณ์ครั้งนั้นมันมีห้วงหนึ่งลึกๆ ในใจแกเหมือนกันที่แกคิดไปว่า “เพื่อนแกต้องมาจากไปเพราะแก” แต่ชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไปพี่เดชแกก็ต้องพยายามปรับสภาพจิตใจให้ลุกขึ้นสู้ต่อไปได้แต่กว่าจะผ่านมาได้ก็เรียกได้ว่าสาหัสอยู่เหมือนกัน
เมื่อเราทำงานช่วงกลางโพล้เพล้ควบกลางคืนเป็นหลักในโรงแรมที่เพิ่งผ่านการสูญเสียจากผู้คนหลายชีวิตแน่นอนว่ามันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพบกับอะไรที่ “เราหาคำตอบไม่ได้ครับ”
วันนั้นผมจำได้ว่ามันเป็นวันแรกที่ผมต้องอยู่รอบดึกซึ่งจริงๆ มันต้องเป็นเพื่อนผมที่ต้องมาเข้ารอบแต่วันนั้นมันดันมีธุระเลยมาขอแลกกะกับผมซึ่งผมก็ไม่มีปัญหาอะไรเพราะวันพรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดผมพอดีอันนี้คนโรงแรมเราจะรู้กันเวลาที่คนไม่พอและต้องหาคนมาทำงานกะดึกแทนคนที่เข้าปกติแน่นอนว่าส่วนใหญ่หวยจะมาออกที่คนรอบบ่ายเป็นหลักครับและผมคือหนึ่งในนั้นที่ต้องมาเข้าดึกวันนี้
ผมมาเข้างานต่อรอบกับรอบบ่ายเรียบร้อยแล้วก็ลงไปที่ห้องครัวเพื่อจะไปเช็ค ABF Box ที่มีแขกสั่งไว้พรุ่งนี้ตอนตี 5 ไปถึงก็เจอพี่เดชซึ่งวันนี้แกก็มาทำงานรอบดึกเหมือนกันเราทั้งสองคนก็ทักทายกันผมก็พูดหยอกแกไปว่า “พี่ๆ คืนนี้ขอกระเพราทะเลรอบดึกหน่อยนะหิว” พี่เดชแกก็ตอบมาติดตลกว่า “ไม่เอา..เดี๋ยวกูโดน Warning ไอ้ห่า” ผมหัวเราะและไม่ได้ว่าอะไรแกก็แนวหยอกๆ กัน คุยกันสักพักพี่เดชก็พูดขึ้นมาว่า “เดี๋ยวช่วง ตี 3 พี่ไม่อยู่ครัวนะอยู่ Office มีอะไรตามพี่ที่นั่นนะ” ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรกับประโยคนี้แต่ประโยคต่อไปต่างหากที่ทำผมเริ่มสงสัยเพราะพี่เดชบอกว่า “แล้วมึงไม่ต้องลงมาในครัวช่วงนั้นนะถ้าจะคุยกับพี่ไปหาที่ห้อง” ผมก็ งง แลดูแกจริงจังมากว่า “ห้ามลงมาช่วงเวลานั้น” แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะวันนี้อยู่ดึกวันแรกตั้งแต่กลับมาทำงาน พอผมหันหลังจะเดินกลับแกก็ยังตะโกนย้ำมาอีกว่า “มึงเข้าใจที่กูพูดมั้ยเนี่ย” ผมก็ตอบแกไปแบบ งงๆ นอยๆ หน่อย “เออพี่ เข้าใจแล้วน่า” แล้วก็เดินจากไปแต่ตอนนั้นสิ่งหนึ่งที่ผมสงสัยและตั้งใจว่า “เดี๋ยวจะลงมาตอนตี 3 เพราะผมคิดว่าแกจะมาแอบนอน” เลยกะว่าเดี๋ยวจะลงมาแกล้งแกซะหน่อย ความคิดนี้แหละครับที่ถ้าย้อนเวลาไปได้ผมจะเชื่อแกเป็นอย่างดีเพราะสิ่งที่ผมจะเจอต่อไปนี้มันเกินบรรยายจริงๆ ครับ
โปรดติดตามตอนต่อไป....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น