วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

 เมื่อ Social Sanction ส่วนบุคคล มีผลต่อชีวิตนอกเวลางาน


จากรณีศึกษาเกี่ยวกับพนักงานโรงแรมคนหนึ่งได้กระทำกิริยาไม่เหมาะสมต่อผู้หญิงจนถึงขั้นแจ้งความดำเนินคดีกันไป ถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้วนี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรกระทำอย่างยิ่งแต่ก็ไม่รู้ว่า ณ เวลานั้นเขาคิดอะไรถึงได้ทำการแบบนั้นลงไป? แน่นอนว่าหลังจากที่ได้เกิดกระแสสังคมต่อการกระทำที่ไม่เหมาะสมนี้ขึ้นซึ่งแม้ว่าจะเป็นการกระทำนอกเวลางานซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานในโรงแรมและเป็นพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นกลายเป็นวิกฤตชีวิตของพนักงานคนนี้ไปทันที เนื่องจากกระแสสังคมได้ตัดสินและลงโทษเขาไปเรียบร้อยแล้วจาก Comment มากมายในโลก Social ต่อพฤติกรรมของเขาที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนจาก Clip ที่ได้รับการเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว กระแสความไม่พอใจ การด่าทอ เกิดขึ้นอย่างมากมายและจุดหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดการคือในช่วงเวลาต่อมา Social Sanction ที่เกิดขึ้นกับเขามันลามไปยังองค์กรที่เป็นต้นสังกัดอย่างโรงแรมของพนักงานคนนี้ มีการเข้าไป Comment ต่างๆ นาๆ ใน Official Page ของโรงแรมแห่งแรกที่ชาวเน็ตคาดการณ์ว่าเป็นที่ทำงานของเขาจนโรงแรมต้องรีบออกมาชี้แจงว่าพนักงานท่านนี้ได้ลาออกจากการทำงานจากที่นี่ไปแล้วและไม่ได้เป็นพนักงานของที่นี่แล้ว ซึ่งแน่นอนว่าแม้จะมีการชี้แจงก็จริงแต่กระแสที่หลั่งไหลเข้าไปใน Comment ที่เราคุ้นชื่อกันดีว่า “ทัวร์ลง” ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของโรงแรมนั้นอยู่พอสมควร
เมื่อโรงแรมแรกปฏิเสธความเป็นต้นสังกัดของเขาไปแล้วการดำเนินการ “ขุด” หาต้นสังกัดปัจจุบันจึงเกิดขึ้นและด้วยธรรมชาติของชาว Netizen ไทยถ้าจะสืบอะไรย่อมไม่แพ้ชาติใดในโลกหวยเลยมาออกเข้าสู่โรงแรมที่สองซึ่งเป็นต้นสังกัดปัจจุบันซึ่งเมื่อรู้ต้นสังกัดของพนักงานคนนี้กระแสสังคมจึงไหลมาที่โรงแรมต้นสังกัดในเชิงกดดันถึง “การลงโทษต่อความผิดครั้งนี้ของพนักงานของโรงแรม” ซึ่ง Comment ส่วนใหญ่เป็นไปในทาง Negative มีการเชื่อมโยงไปถึงตัวของโรงแรมในด้านมาตรฐานการฝึกอบรมพนักงานและข้อสังเกตต่างๆ จนเกิดเป็น Social Media Crisis ขึ้นกับตัวโรงแรมและสุดท้ายโรงแรมจึงต้องออกมาประกาศเลิกจ้างพนักงานคนดังกล่าวในที่สุด ภายใตัเหตุผลในการเลิกจ้างเกี่ยวกับความผิดที่พนักงานคนนี้ได้กระทำซึ่งส่งผลให้โรงแรมได้รับผลกระทบไปด้วย
ในส่วนตัวของผู้ก่อเหตุนี่จะเป็นบทเรียนราคาแพงในการดำเนินชีวิตของเขาให้ได้จดจำและไม่กระทำการแบบนี้อีกเพราะ “ราคาที่ต้องจ่าย”​ จากเหตุการณ์ครั้งนี้มันน่าจะสูงเกิดกว่าที่เขาคาดไว้ ทั้งกระแสสังคมที่ไม่พอใจ การเป็นคดีความ ตกงานขาดรายได้ ไหนจะปัญหาสภาพจิตใจ อีก ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบเพียงเท่านั้นเอง หากวันนั้นเขาเลือกที่จะไม่ทำแบบนั้น ณ วันนี้เชื่อว่าเขาก็ยังคงใช้ชีวิตได้ตามปกติเช่นเคย
วิเคราะห์เหตุการณ์จากกรณีศึกษานี้: เราคงไม่พูดถึงการตัดสินและผลของการกระทำผิดของพนักงานคนนี้เพราะเชื่อว่าเขาน่าจะได้รับไปแล้วจากอารมณ์ชั่ววูบของเขาและเขาควรจะต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดราคาแพงในสิ่งที่เขาไม่ควรทำนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรจะนำมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อหาทางป้องกันปัญหานี้คือ
ประเด็นแรก: ความรุนแรงของ Social Sanction คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าในปัจจุบันสื่อ Social Media มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจและการใช้ชีวิตของพวกเรา โรงแรมอาจจำเป็นต้องบรรจุกรณีนี้เข้าไปในการจัดทำแผน Worse Case Scenarion ว่า “หากโรงแรมต้องได้รับผลกระทบจากมาตรการ Social Sanction ที่เกิดกับโรงแรมเองหรือการกระทำบุคคลากรของโรงแรมทั้งในและนอกเวลางาน กรณีนี้จะมีวิธีการแก้ไขอย่างไร?” เพราะอย่างที่รู้ว่าขอบเขตความไม่พอใจของมาตรการ Social Sanction นั้นมันสามารถลุกลามได้เป็นวงกว้างในระยะเวลาอันรวดเร็วและส่งผลต่อภาพลักษณ์ของโรงแรมในโลกออนไลน์ได้ แน่นอนว่าในเวลางานพนักงานมีหน้าที่ต้องปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมายและไม่ทำให้โรงแรมเสียหาย แต่นอกเวลางานนั้นถือเป็นเวลาส่วนตัวการกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นโรงแรม ควรหรือไม่ควร ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย? ขอบเขตการรับผิดชอบอยู่แค่ไหน? และมันควรส่งผลต่อหน้าที่การงานหรือไม่? เพื่อความชัดเจนและเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินใจของโรงแรม อีกประเด็นหนึ่งคือถ้าพนักงานต้องรับผิดชอบแม้จะนอกเหนือเวลางานก็ตาม “นั่นถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลในเวลาส่วนตัวของพนักงานหรือไม่? ในการต้องรักษาผลประโยชน์ของโรงแรมตลอดเวลาแม้จะนอกเวลาทำงานก็ตาม?” นี่คือสิ่งที่ต้องวางแผนบริหารจัดการกันต่อไปเพื่อให้ได้ทางออกที่สมเหตุสมผลทั้งสองฝ่ายทั้งโรงแรมและพนักงาน การรักษาความสมดุลในการบริหารจัดการเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน
ประเด็นที่สอง: เป็นสิ่งที่เริ่มมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการเลิกจ้างพนักงานคนนี้ของโรงแรมว่า “เป็นการทำเกินกว่าเหตุหรือไม่?” สาเหตุที่เกิดข้อสังเกตเกี่ยวกับประเด็นนี้เนื่องจาก สิ่งที่พนักงานคนนี้ทำถือว่าเป็นการกระทำส่วนตัวโรงแรมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและที่สำคัญ “มันเป็นการกระทำที่อยู่นอกเหนือเวลาการทำงาน” การเลิกจ้างพนักงานคนนี้จะถือว่าโรงแรมทำเกินกว่าเหตุหรือเป็นการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรมหรือเปล่า? ตรงนี้คือสิ่งที่ฝ่ายที่ตั้งข้อสังเกตและหาเหตุผลเกี่ยวกับการเลิกจ้างครั้งนี้ว่าไม่เป็นธรรมยกมาเป็นประเด็น แต่ในขณะเดียวกันหากมองในมุมของนายจ้างกรณีนี้เป็นไปได้ว่าการที่โรงแรมเลือกตัดสินใจเลิกจ้างนี้ โรงแรมก็น่าจะเช็คในข้อกฎหมายแรงงานมาแล้วเป็นอย่างดีเพราะคงไม่มีใครชอบที่จะไปขึ้นศาลแรงงานดังนั้นการตัดสินใจจึงน่าจะกลั่นกรองมาแล้วว่า “อยู่ในขอบเขตที่ทำได้ไม่ผิดกฎหมาย” สาเหตุของการเลิกจ้างที่โรงแรมอาจมองว่าเป็นเหตุเป็นผลคงเป็นเรื่องของ “การทำให้โรงแรมเสื่อมเสียชื่อเสียงซึ่งนับเป็นการสร้างความเสียหายให้กับนายจ้างอย่างหนึ่ง” ซึ่งเอาจริงๆ แม้จะไม่ได้เป็น “ความผิดพลาดจากการปฏิบัติงานก็จริงแต่การกระทำที่นำมาซึ่ง Social Sanction ที่ไม่พอใจพนักงานแล้วพากันมาลงที่โรงแรมตรงนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ตัดสินใจเลิกจ้างในที่สุด” ณ ตอนนี้เลยกลายเป็นอีกกรณีศึกษาหนึ่งที่สำคัญของโรงแรมและอาจจะธุรกิจอื่นๆ ว่า “ถ้าเกิดกรณีพนักงานที่อยู่นอกเวลางานแต่กระทำผิดจนทำให้โรงแรมเสื่อมเสียชื่อเสียง กรณีนี้ถือว่าสามารถทำการเลิกจ้างโดยไม่ผิดกฎหมายแรงงานได้หรือไม่? เพราะไม่ได้เป็นการกระทำในระหว่างปฏิบัติงานและถือเป็นเรื่องส่วนตัวของพนักงานที่ต้องรับผิดชอบ”
เชื่อว่านี่คงจะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่โรงแรมต้องปรับตัวเพราะการเล่นกับกระแสสังคมถือเป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการอย่างระมัดระวังโดยเฉพาะเมื่อมีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของโรงแรมมาเป็นเดิมพัน ในหลายๆ ครั้งเรามักจะเห็นกันอยู่ว่า Social Sanction มีทั้งด้านบวกและด้านลบ ด้านบวกคือถ้าเป็นกระแสสังคมที่กดดันให้สังคมดีขึ้นบนพื้นฐานของความเป็นจริงอันนี้ก็ดีไป แต่ถ้าเป็นสิ่งที่กลับกันอันนี้คือโจทย์ตัวใหญ่ที่เราต้องหาทางรับมือด้วยเช่นกัน
เคสนี้น่าสนใจว่า “ถ้าพนักงานคนนี้ก่อเหตุกระทำความผิดแบบนี้แต่โรงแรมไม่ได้รับผลกระทบหรือที่เราเรียกกันเล่นๆ ว่า “ทัวร์ลง” ไปที่เพจของโรงแรม ไม่มี Social Sanction พนักงานคนนี้ไปกดดันโรงแรมเพียงแต่ลงไปเฉพาะตัวคนที่กระทำความผิดเพียงอย่างเดียว โรงแรมจะแก้ไขปัญหาและจัดการอย่างไร?
ในมุมของพนักงาน ณ ตอนนี้ก็คงต้องระมัดระวังตัวกันมากขึ้นในการปฏิบัติตัวแม้จะอยู่นอกเวลางานว่าต้องไม่ส่งผลทำให้เกิดความเสียหายกับชื่อเสียงของโรงแรมและในมุมของโรงแรมก็ต้องกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลในเวลาส่วนตัวของพนักงานด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจจะกลายมาเป็นอีกรายละเอียดหนึ่งในการเซ็นสัญญาจ้างงานในอนาคตก็ได้ นอกจากนี้ในส่วนของโรงแรมก็ต้องวางแผนการล่วงหน้าในการแก้ไขกรณีโรงแรมได้รับผลกระทบจากการกระทำของบุคคลากรนอกเวลางานด้วยเช่นกันเพราะไม่มีทางรู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับตัวเอง
ส่วนตัวเฮียอยากชวนมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันครับว่ากรณีนี้เรามองยังไงกันบ้าง? เพื่อแลกเปลี่ยนทัศนะและหาแนวทางป้องกันเคสในลักษณะนี้กันครับ

 จับให้ได้ถ้านายแน่จริง

เรื่องของน้อง Join นี่มีเยอะนะเล่ายังไงก็ไม่หมดมันถือเป็นรสชาติของชีวิตเราเลยนะถ้าเราทำงานโรงแรมแล้วมีโอกาสได้ทำงานรอบ Night เรื่องน้อง Join เรื่องหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยในงานโรงแรมคือเรื่องของ “น้อง Join ขโมยเงินแขกหรือหนักสุดก็รูดทรัพย์แล้วหายไปเลย” แต่เรื่องที่เฮียจะเล่าวันนี้มันเป็นเรื่องที่กลับตาลปัตรจะว่าเป็นเรื่องตลกก็ไม่ได้มันออกไปทางตลกร้ายมากกว่าเพราะมันเป็นเรื่องของ "แขกขโมยเงินน้อง Join"



เรื่องนี้เริ่มขึ้นเมื่อแขกจากดินแดนภาระตะคนหนึ่งนำพาน้อง Join เข้ามาในโรงแรม ผ่านขั้นตอนปกติโดยการให้บัตรและชำระค่าน้อง Join (บางโรงแรมจะมีค่า Joiner Charge เพิ่มด้วยนะกรณีแขกพาน้อง Join เข้ามา บางโรงฯ นี่นับเป็นรายได้หลักของโรงแรมเลยก็มีนะ) หลังจากนั้นทั้งสองก็จูงมือกันขึ้นห้องพักไป
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง อยู่ๆ ก็มีเสียงดังจากจากทางลิฟท์เป็นเสียงเอะอะโวยวายลอยมาตามลมไกลๆ แล้วก็ค่อยๆ ใกล้เข้ามาทีละนิดๆ จนเฮียและทีมงานมองเห็นเป็นน้อง Join และแขกคู่เมื่อกี้กำลังฟาดฟันกันมาลงไม้ลงมือ ออกท่าออกทางมาเต็มเหมือนกำลังดูหนังสงครามแบบ 4K กันเลย เฮียเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปพร้อมน้อง Bell Boy ไปห้ามทั้งคู่ให้สงบลงก่อนเพราะเดี๋ยวจะรบกวนแขกคนอื่นๆ เขา ตอนนั้นมันก็ดึกมากแล้วด้วย เฮียไปถึงก็รีบแจ้งทั้งคู่ก่อนเลยว่าให้ “หยุดเสียงดังและทะเลาะกันไม่งั้นจะเรียกตำรวจ” ทั้งคู่ก็เงียบไป สักพักฝ่ายน้อง Join พูดขึ้นมา “มันขโมยเงินหนูไปพี่ หนูไม่ยอมนะ” แล้วก็หันไปด่าแขกเป็นภาษาไทยซึ่งแขกก็น่าจะไม่เข้าใจ สารพัดสัตว์ทั้งบนบก ในน้ำ ถูกลากขึ้นมาสาดใส่หน้าพี่ภาระตะแบบไม่หยุดชนิดที่แขกนี่อึ้งไปเลย คาดว่าน่าจะกำลัง งง และคิดในใจอยู่ว่า “นี่น้อง Join กำลังพูดอะไรวะ?”
แน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ กรรมการผู้หามบนเวทีก็ต้องเป็นหน้าที่ของพนักงานโรงแรมอย่างเฮียอีกแล้วแน่นอน เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูชิ้นเบ้อเริ่มมาแขวนคออีกกู 555 แต่ทำไงได้มันเป็นส่วนหนึ่งของงานที่เรารัก รอบดึกกับน้อง Join นี่ของคู่กัน สีสัน (แต่บางทีก็สีสันหนักไปหน่อยนะ เล่นเอาไม่ได้พักกันเลยก็มี) น้อง Join ทำท่าจะตบแขกเฮียเลยต้องเรียกสติก่อน “น้อง หยุดก่อน ใจเย็นๆ น้องตบเค้าแล้วเค้าแจ้งตำรวจมาน้องเดือดร้อนนะ” น้องก็น่าจะโมโหเลยตะคอกใส่เฮียมา “อ้าวพี่..จะช่วยมันเหรอมันขโมยเงินหนูนะ” มาแบบนี้ต้องเรียกสติอีกรอบนึง “น้องครับ ตอนน้องขึ้นไปกับแขกพี่ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยแล้วทำไมตอนมีปัญหาน้องมาโทษโรงแรมแบบนี้ไม่ถูกนะ” แล้วก็ซัดไปอีกดอกนึง “งั้นเดี๋ยวพี่เรียกตำรวจแล้วกันให้คนกลางที่เค้ามีหน้าที่ตามกฎหมายมาจัดการดีกว่านะครับ” น้อง Join ก็เหมือนได้สติพอจังหวะที่น้องเงียบแขกก็มาต่อเลย “ยูต้องช่วยชั้นนะ เค้าตีชั้น เค้าหาว่าชั้นไปขโมยเงินเค้า”
โอ้เวรกรรมจำพรากจากไปไกลตา ในอุราระทมตรมไหม้ ท่อนนี้ขึ้นมาในหัวโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง เฮียก็เลยต้องค่อยๆ สืบสาวหาเรื่องราวก่อนว่าเกิดอะไรแต่ในใจตอนนั้นจากประสบการณ์ที่เคยเจอเอาจริงๆ มันก็มีแหละทั้ง “น้อง Join ขโมยเงินแขกและแขกขโมยเงินน้อง Join” แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบแรกมากกว่า ทีนี้เฮียก็ถามแขกว่าเกิดอะไรขึ้น แขกก็เล่าเป็นฉากๆ เลยตั้งแต่ขึ้นไป จนถึงฉาก 18+ คือ “ถามตรูสักคำมั้ยเนี่ยว่าอยากรู้ป่าว” แขกก็บอกเฮียมาว่า พอเสร็จกิจแล้วเค้าก็กำลังจะให้น้อง Join กลับ พอน้องแต่งตัวเสร็จเปิดกระเป๋าดูอยู่ๆ ก็บอกว่า “เงินหาย” แล้วก็ไล่ตีแกมาจนแกหนีมาข้างล่างด้วยสภาพนี้ (Bathrobe และเท้าสด) แต่แขกก็ยืนยันว่าเค้าไม่ได้เอาเงิน 500 บาทนั้นไป อันนี้เอะใจนิดนึงเพราะนี่เรายังไม่ได้พูดจำนวนกันเลยนะ เฮียก็หันมาถามน้อง Join ว่า “น้องเงินหายไปกี่บาทนะ” น้องก็ตอบมาว่า “500 บาท พี่ หนูสาบานได้เลยตอนเข้ามาหนูพกมา 500 ก็เงินที่มันให้หนูมานั่นแหละ” เออ จำนวนตรงกันแฮะ พร้อมควักกระเป๋าสตางค์ออกมาให้ดู
คือเอาจริงๆ เคสแบบนี้เราก็เอาตัวเองไปตัดสินใจแทนไม่ได้อ่ะนะฝั่งนึงก็แขกที่ต้องดูแลอีกฝั่งก็เป็นเรื่องของความเสียหายของน้อง Join แต่ใครถูกใครผิดอันนี้เราไม่รู้ สักพักน้องก็เอากระเป๋าสตางค์มาเปิดให้ดูแบบแหกกว้าง 360 องศากันเลยเพื่อแสดงให้เห็นว่า “เงินมันหาไปจริงๆ” พอต่างฝ่ายต่างไม่ยอมและมันเริ่มจะวุ่นวายเฮียก็เลยบอกว่า “เอางี้นะเดี๋ยวชั้นจะเรียกตำรวจมาสืบสวนแล้วกันเพราะชั้นก็ไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินอะไรแบบนี้” พอพูดจบน้อง Join ร้องไห้โฮเลยแต่ร้องแบบอาฆาตอ่ะเพราะเค้ารู้ว่าถ้าแบบนี้ยังไงเค้าก็เสียเปรียบแต่เหมือนจะเหลืออดมั้งน้องเลยบอกว่า “เออ เอามาเลย ให้มัน Ship loss กันให้หมดทั้งคู่นี่แหละกูยอมโดนจับที่รับแขกแต่กูจะเอามันเข้าคุกเพราะขโมยเงินกู”
ฝ่ายแขกพอได้ยินว่าเฮียจะเรียกตำรวจมาสอบสวนจะได้จบ ดันออกอาการแฮะแล้วอยู่ๆ แขกก็หลบเฮียและน้อง Join เดินไปขึ้นลิฟท์กลับขึ้นห้องไปเฉยเลย น้อง Join กำลังจะวิ่งขึ้นลิฟท์ไปด้วยตามไปด้วยเฮียกับน้อง Bell Boy ก็วิ่งไปห้ามไว้ เอาจริงๆ ก็เหนื่อยกับปัญหานี้เหมือนกันคนเข้ารอบดึกน่าจะเข้าใจสถานการณ์นี้ที่มาพร้อม Motto ที่สำคัญว่า “ต้องดูแลแขกเราก่อน ผิดถูกไม่รู้ ถ้าไม่มีหมายศาล ไม่มีหมายจับ ไม่มีเจ้าหน้าที่ (จริงๆ) มา เราก็ต้องดูแลแขกถึงที่สุด” เคสนี้เฮียก็ต้องห้ามน้องไม่ให้ขึ้นไปเพราะมันจะเป็นการรบกวนแขกเนื่องจากถ้าขึ้นไปก็มีเหตุวุ่นวายและแขกไม่น่าจะให้เข้าห้องแล้วคือการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้านี่ต่างคนก็ต่างวิธีนะกรณีนี้บางคนอาจเลือกที่จะไล่น้องเค้าไปเลยทันทีก็ได้แต่เฮียแค่ไม่ได้เลือกทำแบบนั้นก็เท่านั้นเอง
�ยื้ดยุดกันสักพักน้อง Join ก็มานั่งร้องให้หน้า Lobby สักพักนึงแล้วก็ระบายความในใจด่าแขกอย่างนั้นอย่างนี้ เฮียก็ได้แต่แจ้งน้องไปว่า “พี่ก็ช่วยอะไรมากไม่ได้นะน้องยังไงคราวหลังก็ระวังหน่อยละกันแล้วเฮียก็น้อง Bell Boy ก็เดินไปส่งหน้าโรงแรม” ที่รู้ว่าแขกขโมยเงินไปคืออะไรรู้ป่ะ จังหวะที่น้องกำลังเดินออกไปจากปากประตูเข้า Lobby แขกโทรลงมาแล้วให้ Bell Boy ขึ้นไปหา พอ Bell Boy ขึ้นไปก็กลับลงมาด้วยเงิน 500 บาทแล้วบอกเฮียว่า "แขกบอกว่าแขกเจอเงิน 500 บาทตกอยู่ข้างเตียงเลยให้เอาลงมาให้น้อง Join" เฮียเลย ว. ให้ รปภ. แจ้งให้น้อง Join เข้ามาเอาเงินไป อนิจจา 500 เจ้ากรรมหล่นได้พอดิบพอดีจริงๆ รอบดึกนี่ดีจริงๆ มีทุกสิ่งให้เลือกสรรพ

 Hotel Man Travel EP. นี้ เฮียพาเรามาเที่ยวที่เขตชะอำแต่ที่พักชื่อหัวหินกันกับ Avani+ Hua Hin อีกหนึ่ง 5 Star Resort ที่น่าสนใจสำหรับใครที่มีแผนจะเดินทางมาท่องเที่ยวแถวๆ นี้นะครับ สำหรับประสบการณ์เข้าพักที่นี่



1. Location: สถานที่ตั้งหาง่ายมากครับเพราะอยู่ติดถนนเพชรเกษมขาเขา อ.หัวหิน ถ้ามาจากกรุงเทพขับตรงมาแล้วโรงแรมอยู่ทางซ้ายมือเห็นป้ายชัดเจนเลยแต่ถ้ามาจากสายใต้ก็อยู่ฝั่งตรงข้าม ในส่วนของคนที่หาที่พักและต้องการสัมผัสทะเลอย่างใกล้ชิดที่นี่เค้ามีทางลงหาดส่วนตัวของโรงแรมด้วยนะครับแต่ส่วนของชายหาดนี่ต้องดูช่วงน้ำขึ้นน้ำลงดีๆ แต่เอาว่าถ้าอยากสัมผัสน้ำทะเลและดูพระอาทิตย์ตกที่นี่ก็ค่อนข้างตอบโจทย์เลยครับ ตรงนี้ให้ 8/10
2. Staff: พนักงานของที่นี่มี Service Mind ดีครับ ให้บริการเราโดยไม่ได้ร้องขอเลยในบางครั้ง แสดงถึงการ Traninig อย่างดีเป็นไปตามการให้บริการตามมาตรฐาน 5 ดาว Offer Help ดีอยู่ครับ ที่ประทับใจคือเจอ Fanpage Hotel Man ที่นี่ด้วยครับ บรรยากาศการพูดคุยพบปะกันก็เป็นไปอย่างอบอุ่น ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเลยครับ ในส่วนนี้ให้ 8/10
3. Room: ที่นี่เค้ามีทั้งห้องพักปกติและห้องพักแบบ Villa ซึ่งจะอยู่บริเวณใกล้ชายหาดมากกว่า ห้องพักของเฮียเป็น Room Type : Avani Deluxe ตัวห้องกว้างขางดีครับเหมาะเลยสำหรับการเข้าพักเป็นคู่เพราะมีพื้นที่หลายส่วนที่ในบางครั้งต่างคนต่างต้องการเวลาส่วนตัวก็เลือกนั่งแยกกันได้แต่ก็จะอยู่ไม่ไกลกัน สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องพักพื้นฐานก็ครบถ้วนดีครับ แต่ส่วนของ Complimentary ชา กาแฟ ที่เก็บไว้ในลิ้นชักส่วนตัวเฮียจะชินกับการ Set Up ไว้ด้านบนมากกว่า พอเอาไว้ในลิ้นชักแล้วแต่ละช่องพื้นที่เหลือกเยอะมันเลยดูหลวมๆ ไปหน่อยครับ ระเบียงอันนี้ชอบมากเพราะกว้างขวางและรอบคอบดีเพราะมีราวตากผ้าไว้ให้ด้วย ตอบโจทย์เวลาเล่นน้ำ เล่นน้ำทะเลมาแล้วไม่มีที่ตากผ้าในห้อง มีเก้าอี้ให้นั่งเล่นด้วย วิวมองออกมาเห็นสระน้ำสบายตาดีครับ ในส่วนนี้ให้ 7.5 / 10
4. Food & Beverage: ใช้บริการอย่างเดียวคืออาหารเช้า ตัวเลือกก็ค่อนข้างหลากหลายเลยตามมาตรฐาน 5 ดาว เมนูก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นอร่อยดีครับ ชอบมาก ส่วนอาหารอื่นๆ ก็ตามมาตรฐานทั่วไปมีให้เลือกรับประทานเยอะอยู่ รสชาติก็ปกติครับ 7.5 / 10
5. Hotel Facilities: Fitness ปิดเฮียไม่ได้ใช้งาน ส่วนสระว่ายน้ำนี่มีแบบสระว่ายน้ำกลางแจ้งให้เลือกเล่นได้เลยครับ 2 สระส่วนของห้องพักทั่วไปและอีกหนึ่งสระอยู่ในส่วนของ คนชอบเล่นน้ำนี่เต็มที่กับชีวิตได้เลยครับ จุดขายอีกอย่างคือเตียงอาบแดดที่มีให้เลือกใช้งานได้หลายพื้นที่และมีจำนวนเยอะมากเลย หน้าชายหาดมีลานกิจกรรมและพื้นที่ลงทะเลด้วย แต่ถ้าจะไปช่วงสายๆ เที่ยงๆ บ่ายๆ อาจจะสุกได้แบบ Well Done กันไปเลยเพราะแดดโหดมาก หน้าหาดมีตัวของ Avani Club ที่เฮียถาม AFOM เค้าแล้วเค้าแจ้งมาว่า “ปกติเอาไว้เป็น Club Benefit ให้แขก แต่ช่วงนี้ก็ปิดไปตามสถาานการณ์” SPA อันนี้เฮียไม่ได้ใช้งานนะครับเลย No Comment ส่วนนี้ให้ 7.5 / 10
6. ใครที่อยากจัดประชุมสัมมนาเค้าก็มีห้องประชุมสัมมนาด้วยนะครับ รองรับได้น่าจะหลักหลายร้อยเลย ในคลิปพอดีเค้าจะมีงานแล้วจัดห้องประชุมเสร็จพอดีเฮียเลยแวะไปถ่ายมาให้ดูกันด้วย
โดยสรุปคนที่หาที่พักริมทะเลแถวชะอำ หัวหิน ที่นี่ก็น่าสนใจครับโดยเฉพาะการมีพื้นที่โรงแรมที่เยอะมาก จอดรถสะดวก มีห้องพักหลายแบบเหมาะกับทุกกลุ่ม จะมาคนเดียว มาเป็นคู่ หรือมาเป็นครอบครัวก็ได้หมดตอบทุกโจทย์ครับ เดินทางสะดวกหาง่ายและที่สำคัญคือ “ใครที่ชอบนั่งเล่นริมทะเล (ตอนไม่ร้อนนะ) ดูพระอาทิตย์ตกดิน” อันนี้น่าสนใจมากครับ
Room Type : AVANI DEXLUXE
Room Rate : 6,711.72 THB Nett. RB. / 2 Nights
Hotel Man Rating Score: 7 / 10
ฝากติดตามช่อง YouTube เป็นกำลังใจให้เฮียด้วยนะครับ : https://www.youtube.com/c/Hotelmanstravel

 ตอน เจ็บใจ คนรักโดนรังแก


มีอยู่ครั้งหนึ่ง (จริงๆ ก็หลายครั้งแหละ) เฮียเจอเคสเสี่ยงบาทา เป็นเรื่องของ “ความรักเป็นเหตุสังเกตุได้” 

โดยเรื่องมันเริ่มต้นขึ้น ณ ช่วงดึกวันหนึ่งที่เฮียเข้างานรอบดึก มีชายจากดินแดนตะวันออกกลางคนหนึ่งเดินหน้ามุ่ยเข้ามาที่ Lobby พร้อมน้องนางหนึ่งคน เฮียที่กำลังยืนตรวจ Room Rate อยู่เลยรีบเข้าไปหาแขกแล้วกล่าวทักทาย “สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยเหลือครับ?” แขกคนนั้ที่ดูหงอยเหงา ในมือของเขามีทินเนอร์ เอ้ย!!! ไม่ใช่ๆ แขกก็สาดอารมณ์ใส่มาเต็มๆ เลยบ่งบอกได้ว่า “โมโหมาก” คือตอนนั้นเฮียก็ งงๆ นะ เพราะเขาไม่ได้ลงมาจากห้องพักแต่เดินเข้ามาจากด้านหน้าโรงแรมบ่งบอกว่าน่าจะออกไปทำธุระแล้วกลับเข้ามา การโมโห นี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับโรงแรม แต่ก็ด้วยความที่ยังไม่รู้นี่แหละเลยคาดการณ์อะไรมากไม่ได้ ทำได้แค่ตั้งรับไว้ก่อน

แขกบอกเฮียมาด้วยอารมณ์โมโหว่า “ทำไม รปภ. ต้องขอดูบัตรประชาชนของผู้หญิงคนนี้เค้ามากับชั้น?” โอเค จบประโยคนี้เราอนุมานได้ว่าน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของน้อง Join แต่น่าจะไม่ใช่ปัญหาที่ตกลงกับน้องเค้าไม่ได้เหมือนในหลายๆ เคส น่าจะเป็นปัญหาอื่น ว่าแล้วเฮียก็ขอทราบหมายเลขห้องแขกก่อนเพื่อเช็คว่าเป็นใครมาจากไหน แขกก็บอกห้องมา เฮียก็เอาไปเช็คใน PMS เจอตัวตนแขกเรียบร้อยซึ่งในการเข้าพักนั้นแขกลงทะเบียนไว้คนเดียวไม่มีใครอื่น อธิบายก่อนว่าในรอบกลางคืนนั้นจะมี รปภ. หรือ Bell Boy คอยตรวจเช็คน้อง Join ที่มาเข้าพักกับแขกเพื่อป้องกันการแอบอ้างเป็นแขกที่เข้าพัก ซึ่งก็เป็นไปตาม Process ปกติ ที่ต้องมีการขอดูบัตรประชาชนและเก็บบัตรประชาชนไว้เพื่อความปลอดภัยของแขกและก็ของตัวน้อง Join ด้วยนี่แหละเผื่อเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้น” แต่ก็อย่างที่รู้ว่ามันจะมีหลายครั้งที่แขกจะ “แสดงอภินิหารต่อหน้าน้องนางด้วยการปฏิเสธที่จะไม่ให้น้อง Join ให้บัตรประชาชนกับทางโรงแรม” ซึ่งก็ต้องหาเหตุผลมาอธิบายกันไป

เฮียก็เลยแจ้งแขกไปว่า “ยูต้องการจะให้เขา (น้อง Join) ลงทะเบียนเข้าพักไว้กับยูด้วยเลยไหม? เพราะห้องพักยูพักได้สองคนอยู่แล้วไม่ใช่ Single Occupancy เราจะได้ไม่ต้องขอตรวจสอบบัตรประชาชนเขาในครั้งต่อไป” แขกก็โมโหต่อว่าเฮียว่า “ไม่...เค้าแค่มาหาชั้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น” ทีนี้ก็ต้องอธิบายกันอีกว่าทำไมถึงต้องมีการขอบัตรประชาชนน้อง Join เพราะยังไงพี่แกก็ไม่ยอมเข้าใจซะทีแม้จะให้เหตุผลเรื่องความปลอดภัยของตัวแกเองนี่แหละว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ติดตามน้อง Join ได้เพราะในสังคมมันก็มีทั้งคนดีคนไม่ดีปะปนกันไป เราไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นใคร แต่แขกก็ไม่เข้าใจ

น้อง Join ที่เห็นแขกโมโหก็รีบเข้ามาหาเฮียแล้วยื่นบัตรประชาชนให้ก่อนหันไปบอกแขกว่า “OK” เหมือนพยายามจะอธิบายว่า “เข้าใจ Process โรงแรมและ OK กับการให้บัตรไม่มีปัญหา” แต่แขกก็ยังไม่จบยังหันมาบอกกับน้องเค้าว่า “แต่ชั้นไม่ OK” แล้วก็หันมาโชว์รวยใส่เฮียอีกว่า “ชั้นต้องจ่ายเท่าไหร่?” ป๊าดดด รวยแท้หนอ เฮียก็เลยตอบไปว่า “ ผมไม่ง่ายนะครับ เอ้ย!! ไม่ใช่ๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย แค่ยูแจ้งมาว่าจะให้เขาลงทะเบียนเข้าพักด้วยไหม หรือจะให้เขาฝากบัตรไว้ แค่นั้นเอง” แต่ในชีวิตการทำงานรอบดึกของคุณน้อยครั้งนักที่คุณเจอเคสแบบนี้แล้วมันจะจบลงด้วยดี แขกก็จะไม่ยอมท่าเดียวและจะพาน้องขึ้นห้องให้ได้โดยที่ไม่ยอมให้บัตร เฮียก็ยืนยันคำเดิมว่า “ถ้าไม่ฝากบัตรไว้ก็ไม่ให้ขึ้น” สักพักแขกถามหา “ผู้จัดการ” คราวนี้เฮียก็เลยแสดงตัวไปว่า “ฉันเป็นผู้จัดการรอบดึกวันนี้และมีหน้าที่ในการดูแลแขกทุกคนรวมทั้งยูด้วย” แขกก็ไม่ยอมและยกสถานะขึ้นไปอีกว่า “ชั้นต้องการคนที่ใหญ่กว่ายู” จังหวะที่เฮียกำลังอ้าปากจะอธิบาย ทันใดนั้นน้อง Join เหมือนจะอยากไปให้พ้นจากคนแถวนี้ คือพยายามที่เอาบัตรมาให้เฮียแต่แขกก็ยังห้ามไว้ตลอด

เฮียเลยหันไปมองน้อง Bell Boy ส่งสัญญาณลับข้ามเวลาที่รอบดึกซึ่งอยู่คู่กันมาจะรู้กัน ก่อนเฮียใช้วิธีการ “เล่าเรื่อง” เพราะถ้าใช้การอธิบายยังไงแขกก็ไม่น่าจะฟังเฮียเลยลองเปลี่ยนวิธีซึ่งตอนนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะได้ผลไหม 555 เพื่อให้แขกสงบสติอารมณ์โดยค่อยๆ ดึงความสนใจแขกมาทีละนิดด้วยประโยคคำถาม “ยูรู้ไหมว่าทำไมเราต้องเก็บบัตรประชาชนเขา?” แขกเริ่ม งง ว่ามันจะมาไม้ไหนวะเมื่อกี้ยังยืนมึนๆ อยู่เลย แขกก็ตอบกลับมาแบบมีอารมณ์แต่เหมือนเบาลงเพราะเริ่มจะ งง กับท่าทีของเฮีย 555 “ชั้นไม่รู้หรอก นั่นไม่ใช่ธุระของชั้น” เฮียก็เลยบอกแกไปว่า “ยูโชคดีนะน้องคนนี้เค้าเป็นคนดีและยอมปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงแรมไม่เหมือนกับเคสเมื่อเดือนก่อนนี้เลย” คราวนี้แขกเริ่ม งง อีกรอบและถามกลับมา “เคสอะไร?” เฮียก็เล่าให้แขกฟัง “มีแขกคนนึงแอบพาบุคคลภายนอกขึ้นไปโดยไม่ยอมบอกเราและไม่ยอมให้บุคคลภายนอกนั้นให้บัตรประชาชนซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการอ้างอิงตัวตนของบุคคลภายนอกไว้กับเรา....แล้วยูรู้ไหมเกิดอะไรขึ้นกับเขา?” แขกเริ่ม งง แต่ยังมีท่าทีหงุดหงิดอยู่ “อะไร?” เฮียก็เลยเฉลยไปว่า “แขกคนนั้นโดนรูดทรัพย์หมดตัวเลย จนต้องไปติดต่อสถานฑูต โรงแรมก็ติดตามอะไรคนร้ายไม่ได้เลยเพราะไม่มีเอกสารอะไรให้ติดตาม

จังหวะที่กำลังดึงความสนใจแขกมาตอนแรกนั้นเฮียหันไปบอกน้อง Bell Boy รอบดึก ซึ่งเป็นภาษากายที่เรารู้กันว่า “ถ้าเกิดกรณีนี้ให้เข้าไปทางน้อง Join และรับบัตรมาเลยโดยไม่ให้แขกรู้” เนื่องจากปัญหาไม่ได้อยู่ที่น้องแต่อยู่ที่แขก ถ้าเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยตามกระบวนการก็จบ

แขกฟังเฮียจนจบทีนี้ก็หันไปมองผู้หญิงแล้วก็หันกลับมาหาเฮียก่อนพูดด้วยเสียงที่ยังหงุดหงิดอยู่แต่น้อยลงว่า “ไม่เป็นไรชั้นดูแลตัวเองได้” เฮียก็เลยแจ้งแขกไปว่า “เชิญขึ้นห้องได้เลยนะ ตอนนี้แขกของยูให้บัตรเราเรียบร้อยแล้ว” แขกก็เหมือนจะตกใจนิดๆ ว่ามันไปให้กันตอนไหนวะ และยังไม่ทันจะอ้าปากน้อง Join ก็คว้าแขนแล้วรีบเดินขึ้นห้องเลย แขกก็โดนลากไปแบบ งงๆ หันหลังกลับมาจะด่าต่อแต่ก็ไม่ทันเพราะน้อง Join พาเข้าลิฟท์เรียบร้อยแล้ว เอวัง ด้วยประการละฉะนี้แล 

#hotelman #hotelmantravel #hotelblogger#hoteljob #hotelstaff




 Communication Skill อีกหนึ่งทักษะจำเป็นในโลกอนาคต

เคยสังเกตกันไหมครับว่าปัจจุบันนี้ในมุมของความเป็นแรงงาน มีทักษะมากมายหลายอย่างที่เราต้องเรียนรู้ทั้งความรู้ในงาน ทั้งความรู้รอบตัว ความรู้ด้านเทคโนโลยี ทักษะดิจิทัลต่างๆ ฯลฯ ทั้งหมดก็เป็นไปเพื่อให้เรามีแต้มต่อในการหาโอกาสเติบโตด้านหน้าที่การงานและก้าวไปสู่ความเป็นแรงงานทักษะสูงซึ่งเป็นแรงงานที่ภาคธุรกิจในปัจจุบันและอนาคตต้องการ “ยอมจ่ายแพงแต่แลกกับทักษะที่หลากหลาย”



แต่เชื่อไหมครับว่ามันยังมีทักษะพื้นฐานมากๆ ของมนุษย์ที่เรามักจะละเลยและไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าที่ควรเพราะมองว่ามันเป็น “ทักษะพื้นฐาน” นั่นคือเรื่องของ “Communication” หรือการติดต่อสื่อสารกัน การมีปฎิสัมพันธ์กัน การพบปะพูดคุยกัน เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยครับว่าปัจจุบันนี้เทคโนโลยีต่างๆ ถาโถมเข้ามาในชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างมากมายและหนึ่งในเป้าหมายการอำนวยความสะดวกสบายของเทคโนโลยีเหล่านั้นคือเรื่องของ “การอำนวยความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสาร” Application ต่างๆ หรือแม้แต่ Chat bot ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายให้เราเลือกใช้แบบนับไม่ถ้วนให้เราได้ติดต่อสื่อสารกันอย่างสะดวกสบายทั้งในด้านชีวิตส่วนตัวและทางธุรกิจ หนึ่งในวิธีการยอดนิยมคือการ “Chat” ผ่าน Application ต่างๆ โดยไม่ต้องเสียเวลาโทรคุยกันให้ยุ่งยากและไม่จำเป็นต้องพบหน้าค่าตากัน (ไม่นับกรณี VDO Call หากัน) ยกเว้นมีธุระจริงๆ
และจากความสะดวกนี้เมื่อเราพิมพ์โต้ตอบกันไปมาเรื่อยๆ ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว จนไม่จำเป็นต้องมาพบเจอกัน ในบางครั้งพอเรามาเจอหน้ากันมันดันกลายเป็นว่าเกิดอาการ “ไม่รู้จะพูดยังไง” เพราะการเจอกันแบบ Face to Face เป็นการเจอกันของมนุษย์ซึ่งมีอารมณ์และการแสดงออกทางสีหน้าท่าทางเข้ามาเกี่ยวข้องและจากการที่เราไม่จำเป็นต้องเจอกันนานเข้ามันทำให้เราอาจเกิดอาการที่เรียกแบบเข้าใจง่ายๆ ว่า “ไม่รู้จะแสดงทีท่ากับคู่สนทนายังไง” เพราะมันแตกต่างจากการ Chat กันที่ไม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบนี้เข้ามา และพอไม่รู้จะทำตัวยังไงมันเลยกลายเป็นบทสนทนาที่อาจจะจับใจความอะไรไม่ได้
เมื่ออาการนี้เข้ามาบรรจบในที่ทำงานมันเลยกลายเป็นการ “พูดกันไม่รู้เรื่อง” สื่อสารกันไม่เข้าใจเพราะคุ้นชินกับการคุยกันแบบไม่เห็นหน้าและ “Chat” กันมากกว่า ดังนั้นจึงเป็นที่มาของทักษะที่น่าจะต้องถูกบรรจุเข้าไปในอนาคตด้วยเช่นกันนั่นคือเรื่องของ “ทักษะการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน” เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์สังคมถูกเทคโนโลยีเข้าแทรกกลางและลดความเป็นสัตว์สังคมที่ต้องเจอหน้าค่าตา พูดคุยกัน รับรู้อารมณ์ความรู้สึกระหว่างกันลงไป ความเฉยชา ความสนใจและใส่ใจผู้อื่นก็อาจจะน้อยลงไปจนนำมาซึ่งการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่อาจจะทำให้พูดกันไม่รู้เรื่องเมื่อต้องมาเจอหน้ากันได้
อีกองค์ประกอบหนึ่งที่ทำให้ “ทักษะในการสื่อสารสำคัญในอนาคต” คือข้อมูลต่างๆ ที่ในปัจจุบันมีให้เสพกันมากมาย และแน่นอนว่าเมื่อข้อมูลมันมีมาก บางคนก็อยากจะแสดงออกมากซึ่งในมุมหนึ่งมันก็ดีที่ถ้าข้อมูลนั้นมาช่วยเติมเต็มทางธุรกิจและเป็นประโยชน์ในการดำเนินงาน แต่หากกลับกันถ้าข้อมูลที่ได้มาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับงานที่ทำเลยเพียงแต่ผู้นำเสนออยากจะสื่อสารออกมาแบบนี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจจะทำให้การติดต่อสื่อสารกันไม่เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล คุยกันไม่รู้เรื่อง เสียเวลาและเสียโอกาสในการเริ่มงานไป
ถึงตรงนี้แล้ว “ทักษะการติดต่อสื่อสาร” น่าจะเป็นอีก Skill ที่ควรจะต้องหันกลับมามองอย่างจริงจังเพราะไม่ว่าข้อมูล วิธีการ จะดีแค่ไหนแต่ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นชิ้นเป็นอันได้ครับ

 เตือนภัยโรงแรมครับ



เฮียได้รับการติดต่อทาง Message จากสมาชิกเพจเราท่านหนึ่งเกี่ยวกับมิจฉาชีพที่มาในรูปแบบของการอาศัยช่องว่างในการมี Service Mind และความพยามในการให้บริการแบบ Beyond Guest Expectation ของพวกเราครับ ซึ่งหลังจากได้รับเคสปกติเฮียจะตรวจสอบและขอหลักฐานก่อนเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้แต่งเรื่องเพื่อสร้างความเสียหายให้บุคคลที่สามและถ้าติดตามกันมาจะรู้ว่าเฮียจะไม่ค่อยอนุญาตให้ลงโพสต์ที่พาดพึงถึงบุคคลที่สามประเภททะเลาะกันมาแล้วจะให้เฮียมาโชว์หน้าโชว์ตาคู่กรณีนี่เลิกคิดได้เลย แต่เคสนี้เท่าที่เฮียตรวจสอบแล้วมีที่มาที่ไปแม้จะยังไม่ได้แจ้งความดำเนินคดีแต่เรื่องราวกับหลักฐานที่ส่งมาเมื่อเฮียประมวลผลดูแล้วและเทียบเคียงว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเราเลยตัดสินใจเอามาลง เพื่อให้พวกเราระมัดระวังตัว ส่วนใครจะคิดยังไงอันนี้ก็แล้วแต่นะครับเฮียห้ามความคิดใครไม่ได้แต่สำหรับเฮียเองเห็นว่า "มันเป็นเคสที่เป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นและคนโรงแรมอย่างเราควรศึกษาเพื่อป้องกันตัวเองไว้ครับ"
กรณีนี้จะไม่มีการพาดพิงบุคคลที่สามใดๆ ตัวเนื้อเรื่องที่เจ้าของเคสนี้เจอมาค่อนข้างน่าสนใจและไม่อยากให้ใครโดน แต่ทางเจ้าของเรื่องขอสงวนชื่อโรงแรมนะครับส่วนหน้าตาคู่กรณีเนื่องจากมันยังไม่ได้เป็นคดีความตามกฎหมายเฮียเลยไม่ขอเอาลงนะเพราะมีเรื่อง พรบ.คอมฯ เรื่อง พรบ.ข้อมูลส่วนบุคคลอยู่โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านและพิจารณานะครับ
ข้อความจากทางบ้าน
สวัสดีค่ะ พอดีมีเรื่องมิจฉาชีพที่หลอกพนักงานโรงแรมแบบเราอยากจะให้ลงในเพจ เพื่อเป็นกรณีศึกษาค่ะ ไม่ทราบว่าจะลองอ่านเรื่องราวก่อนไหมค่ะ โดนมาสดๆ เมื่อคืนนี้เองริ่มเลยนะคะ…
เมื่อวานช่วงประมาณสามทุ่มครึ่ง มีชายเสียงวัยกลางคนโทรเข้ามาแจ้งว่า ให้ทาง รร. โทรกลับจะจองห้องพัก แต่เงินในโทรศัพท์จะหมดแล้ว พอเราโทรกลับไป บอกว่าขับรถมาหม้อน้ำแห้ง อยู่แถวป่าละอู ให้ทางโรงแรมช่วยหารถแท็กซี่มารับหน่อย เพราะต้องการพักทางโรงแรมของเราจริงๆ ซึ่งโรงแรมของเราอยู่นอกเพื้นที่ตัวเมืองหัวหิน เราเสนอว่า "ให้พักที่โรงแรมแถวหัวหินดีกว่าไหมคะ? น่าจะสะดวกกว่าที่จะเดินทางมาที่โรงแรมเรา" แต่ผู้ชายคนนั้นแจ้งว่า "เคยมาพักกับทางโรงแรมนี้และชอบอยากไปพักอีก" และอีกอย่างที่เขาแจ้งมาคือ "เขาจะไปทำธุระต่อที่ชุมพร"
ด้วยความหวังดีและเห็นใจลูกค้า เราจึงได้จัดหาแท็กซี่ให้ไปรับแต่ทั้งนี้ได้ให้ทางแท็กซี่โทรไปหาผู้ชายคนนั้นเองเพราะต้องตกลงกันเรื่องราคาเนื่องจากโรงแรมไม่ได้รับผิดชอบส่วนนี้
ผ่านไปสัก 10 นาที ผู้ชายคนนั้นโทรกลับมาที่โรงแรมโดยโทรมาแล้ว "ให้เราโทรกลับเพราะยังไม่มีเงินในโทรศัพท์" พอเราโทรกลับไปผู้ชายคนนี้บอกว่า "อยากให้เราไปซื้อบัตรเติมเงินทรูที่ 7-11" เราบอกว่า "เราทำงาน ไม่สามารถออกนอกโรงแรมได้" และก่อนวางสายผู้ชายคนนั้นถามว่า
"คนขับรถแท็กซี่วางใจได้นะ?" เพราะเค้าอยู่คนเดียว เราจึงแจ้งว่า "สามารถไว้ใจได้เพราะทางโรงแรมเรียกใช้บริการบ่อย"
..หลังจากนั้นผ่านไปสัก 1 ชั่วโมง คนขับรถแท็กซี่โทรมาบอกว่าติดต่อผู้ชายคนนั้นไม่ได้เลยและบอกกับเราว่า ในระหว่างที่ติดต่อกัน "ผู้ชายคนนั้นให้คนขับแท็กซี่เติมเงินให้จำนวน 400 บาท เพราะต้องการใช้โทรศัพท์โทรหาบริษัทรถ" ทางคนขับแท็กซี่จึงเติมเงินให้สุดท้ายแท็กซี่ขับไปถึงป่าละอูโดยที่ "ข้างทางไม่มีรถเสียจอดอยู่เลย" ขับไปจนถึงตัวทางเข้าน้ำตกป่าละอูก็ไม่เจอ คนขับจึงวนรถกลับ และโทรกลับมาแจ้งเราว่าไม่พบใครเลย จึงสรุปได้ว่าเราและคนขับแท็กซี่น่าจะโดยหลอกแล้วเสียเงินไป 400 บาท
หลังเกิดเหตุเราได้มีการนำชื่อผู้ชายคนนี้ไปค้นใน google เจอสถานที่ทำงานของเขาแต่พอโทรไปสอบถามสถานที่ทำงานปรากฎว่าเขาลาออกไปได้ 1 ปีแล้ว ตอนที่เราโทรไปสอบถามที่บริษัททางบริษัทตอบคำถามเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ว่าลาออกไปแล้วเร็วมากเหมือนกับมีคนอื่นก็ตามหาเค้าอยู่เหมือนกัน สรุปว่าเราและคนขับแท็กซี่น่าจะโดนหลอกแล้วค่ะ
จุดประสงค์ที่อยากให้นำเสนอคือ เดี๋ยวนี้มิจฉาชีพมาหากินกับพนักงานรรที่มี service mind ในการบริการลูกค้าให้ประทับใจ หรือบางครั้งเราต้องบริการแบบ beyond guest expectation ตามที่เราเคยโดยเทรนกันมาบ่อยๆ ทั้งนี้หากทาง admin จะไม่โพสเรื่องนี้หรืออาจจะเรียบเรียงใหม่ ทางเราโอเคกับการตัดสินใจของ admin นะคะ
เรื่องราวจาก "มิตรสหายโรงแรมท่านหนึ่ง"
ปล. ไม่ใช่เรื่องลี้ลับอะไรนะอันนี้

บทความแนะนำ