วันพุธที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ตอน มันอาจจะผิดที่เป็นอย่างนี้

ตอน มันอาจจะผิดที่เป็นอย่างนี้
เรื่องนี้เกิดขึ้นจากความประมาทของแขกเองในการไม่ระวังจนทำให้เจ็บตัวและแน่นอนโรงแรมรับผิดชอบเต็มที่แต่ก็อย่างที่ว่าเพราะถ้าจบง่ายๆ คงไม่ได้ตำแหน่ง FTG of the year ก็เลยต้องเล่นใหญ่ซะหน่อย
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเฮียได้รับแจ้งจากน้อง Operator ว่า “เฮียคะๆ แม่บ้านโทรลงมาแจ้งว่าแขกห้อง 3203 โดนแก้วบาดค่ะ” เฮียรับสายเสร็จก็รีบขึ้นไปที่ห้องพร้อมกล่องประถมพยายาม เอ้ย!! พยาบาล First Aid พร้อมด้วยน้อง Bell Boy อีกคนเผื่อมีเหตุการณ์อะไรหนักกว่าที่คิดจะได้ให้น้องรีบจัดการเรียกรถพยาบาลพอขึ้นไปถึงห้องแขกประตูห้องเปิดอยู่เฮียก็เคาะที่ริมประตูให้รู้ว่ามาแล้ว (แม้ประตูจะเปิดอยู่แต่มันก็จะเป็นการ Attention แขกที่มีมารยาทเพื่อให้แขกหันมาสนใจเรา) เฮียก็รีบเข้าไปแล้วก็ถามแขกเลยว่า “ยู Ok ไหม? จะไปโรงพยาบาลหรือเปล่า?” คือตอนนั้นเฮียเห็นแล้วแหละว่าแผลมันไม่ลึกแล้วแขกก็ล้างกับน้ำกินที่สะอาดที่เตรียมไว้ในห้องเรียบร้อยแล้วตรงพื้นห้องก็มีเลือกหยดอยู่เล็กน้อย 3-4 หยดแผลไม่ได้ใหญ่เฮียก็เลยบอกแขกไปอีกว่า “ชั้นมีกล่องปฐมพยาบาลมาเผื่อยูต้องการ..ยังไงเดี๋ยวชั้นจะทำแผลให้นะ” จริงๆ ทักษะการปฐมพยาบาลเบื้องต้นนี้เราก็ควรมีกันไว้ด้วยนะจะเป็นเรื่องที่ดีมากเลยพอถามจบสามีของแขกผู้หญิงก็ตอบ “Ok แล้วก็เอากระเป๋าไปทำแผลกันเอง” จังหวะที่ทำแผลเฮียก็เลยถามแกไปว่า “ขอโทษนะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเหรอ? มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?” แขกก็ตอบมาว่า “ชั้นหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจะดื่มน้ำแล้วก็เดินไปจะหยิบรีโมททีวีแล้วบังเอิญชั้นทำรีโมทหลุดมือชั้นตกใจก็เลยปล่อยแก้วน้ำไปคว้ารีโมททีวีแก้วเลยตกแตกบาดใส่ชั้น”
เฮียก็เลยแนะนำแขกเพราะตอนนั้นโรงแรมมีประกันบุคคลที่สามอยู่แล้วเลยอยากให้แขกไปหาหมอเพื่อความปลอดภัย “ชั้นว่ายูไปพบหมอที่โรงพยาบาลก่อนดีไหมเดี๋ยวทางโรงแรมจะจัดการค่าใช้จ่ายให้นะ?” มันเป็นการซื้อใจแขกด้วยบริการที่จริงใจและให้ความช่วยเหลือเต็มที่ที่พวกเราทุกคนทำกันอยู่แล้วแต่แขกตอบกลับมาว่า “ไม่ล่ะชั้นไม่เป็นไรมาก..แต่ถ้ายูอยากช่วยยูเอาเงินให้ชั้นไปหาหมอเองก็ได้ถ้าชั้นว่างๆ ชั้นจะไปเอง” มาถึงตอนนี้มันเริ่มแปลกๆ เฮียก็อธิบายไปว่า “ไม่ได้หรอกเพราะโรงแรมชั้นทำประกันไว้..ยูต้องไปที่ รพ. ซึ่งเรามีรถพาไปยูไม่ต้องเสียค่าโดยสารแล้วหลังจากนั้นเรื่องค่าใช้จ่ายทางประกันกับโรงพยาบาลและโรงแรมเค้าจะประสานกันเอง..เราเป็นห่วงสวัสดิภาพของยูนะ” รู้ป่ะแกบอกว่าไง....แกตอบเฮียมาว่า “ชั้นบอกแล้วไงว่าไม่เป็นไรเอาเงินมาให้ชั้นไปหาเองชั้นไม่อยากยุ่งยาก” พร้อมกับท่าทีที่เริ่มนิ่งๆ เหวี่ยงๆ เฮียก็ตั้งสติและประมวลผลเคสนี้ว่าแขกต้องการอะไรในระดับความเร็ว 4GB ผลสรุปก็ได้ออกมาว่า “น่าจะต้องการเงินไปหาหมอเองแล้วคงอยากจัดการในส่วนต่างเพราะจากที่เจอถ้ากรณีแขกบาดเจ็บในโรงแรมร้อยทั้งร้อยต้องอยากไปโรงพยาบาลก่อนเป็นอันดับแรก” ทีนี้เฮียก็ต้องเริ่มอธิบายแบบจริงจังมากขึ้นไปอีกว่า “ชั้นไม่สามารถให้เงินยูไปรักษาเองได้และชั้นก็คิดว่าให้ทางโรงแรมจัดการพายูไปที่โรงพยาบาลเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายยูก็จะได้รักษาแผลทางโรงแรมก็ได้แสดงความรับผิดชอบกับอุบัติเหตุที่เกิดกับยูในครั้งนี้โดยมีบริษัทประกันจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายให้โดยไม่ต้องเป็นภาระยู” แขกตอบกลับมาว่าไงรู้ป่ะ.....”ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้วเพราะเธอไม่ได้เป็นห่วงสวัสดิภาพชั้นจริงไม่อย่างนั้นเธอคงเอาเงินให้ชั้นไปแล้ว” อ้าว!!! ทำไมออกมารูปนี้วะเนี่ย
เฮียก็เลยอธิบายไปต่อว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับเราเป็นห่วงยูมากต่างหากจึงอยากให้ไปโรงพยาบาลและเช็คให้ละเอียดว่าไม่เป็นไรแม้เคสนี้จะเกิดจากยูเองโดยที่ทางโรงแรมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ แต่เราก็ยินดีที่จะรับผิดชอบทุกอย่างไม่ได้หลีกหนีไปไหนโดย Offer สิ่งที่ดีที่สุดที่แขกปกติทั่วไปต้องการเวลาบาดเจ็บคือการไปโรงพยาบาลพบแพทย์แล้วทำไมยูยังว่าเราไม่ได้สนใจยูอีกครับ?” แขกก็นิ่งไปแป๊บนึงแล้วก็มาคุยกับเฮียอีกดอกในขณะที่สามีกำลังทำแผลและเริ่มมีท่าทีอยากให้เรื่องนี้จบลงเร็วๆ เต็มที่เพราะไม่เข้าใจในตัวภรรยาตัวเองแขกผู้หญิงหันมาบอกเฮียว่า “ชั้นแค่บอกว่าเอาเงินให้ชั้นไปหาหมอเองยูจะได้ไม่ต้องลำบากพาชั้นไปชั้นจัดการตัวเองได้ชั้นขอแค่นี้” เฮียก็เลยตอบกลับไปว่า “ยูทำประกันชีวิตไว้ไหม?” แขกก็ งงๆ แล้วก็ตอบกลับมาว่า “แน่นอนชั้นทำไว้” เฮียก็เลยถามกลับไปอีกว่า “แล้วเวลายูเจ็บป่วย..ยูให้บริษัทประกันชีวิตเอาเงินมาให้ยูไปหาหมอมั้ยหรือยูไปโรงพยาบาลเลย” แขกก็ตอบมาว่า “ชั้นก็ไปโรงพยาบาลซิทำไมต้องให้ประกันเอาเงินให้ชั้น” เฮียก็เลยตอบกลับไปว่า “กรณีนี้ก็เหมือนกันยูสามารถไปโรงพยาบาลได้เลยนะไม่จำเป็นต้องเอาเงินจากโรงแรมไปหาหมอเพราะเราจัดการให้หมดแล้ว..และทำไมยูยังต้องการเงินอีกล่ะ? ยูจะเอาไปทำอะไรเหรอ?”



เงียบไปเลยเจอคำถามนี้แล้วก็ไม่รู้จะตอบเฮียยังไงก็เลยหันไปถามตัวสามีว่า “ทำเสร็จหรือยัง” สามีก็ทำแผลเสร็จพอดีก็ตอบกลับมาว่า “เสร็จแล้ว” เฮียก็ถามกลับไปทั้งสองคนเลยว่า “ยูจะไปโรงพยาบาลไหมชั้นจะได้ให้คนขับรถเตรียมตัวไว้” ตัวสามีก็หันมามองภรรยาแล้วภรรยาก็มองหน้าตอบก่อนหันมาบอกเฮียว่า “ชั้นไม่ไปชั้น Ok แล้ว...แต่ชั้นว่ายูไปลองคิดอีกทีนะว่าทำแบบนี้มันเป็นการดูแลแขกที่ถูกหรือเปล่า” เฮียก็ไม่รู้จะพูดอะไรก็เลยบอกแขกไปว่า “ชั้นจะเอากระเป๋าปฐมพยาบาลไว้ที่นี่เผื่อยูจะใช้นะ” และถ้ามีอะไรก็โทรเรียกเราได้ตลอดเวลาที่เบอร์ 0 นะ ก่อนขอตัวออกมาพอลงมาถึงหน้า Lobby เฮียก็สั่งน้อง Room Service ให้จัด Fruit Basket พร้อม Card ที่เขียนว่า “Get Well Soon” ไปให้แขกเพื่อเป็นการเยี่ยมไข้..สรุปเราอาจดูแลไปมันเลยอาจจะผิดที่เป็นแบบนี้

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2562

จำฉันได้หรือเปล่า

เวลาไปทำงานโรงแรมเคยเจอแบบนี้กันป่ะที่เข้าไปใน Office แล้วจะมีรูปคนนั้น คนโน้น คนนี้แปะเต็มไปหมดเลยแล้วหัวหน้าก็จะบอกเราว่า "จำไว้นะว่าเค้าเป็นใครเผื่อเค้ามาจะได้รู้จัก"
เอาจริงๆ มันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องอ่ะแหละนะว่าเราทำงานโรงแรมเค้าแล้วก็จะต้องรู้จักหน้าค่าตาของเจ้าของโรงแรมคนที่จ่ายเงินเดือนเราไว้แต่มันก็มีหลายครั้งเหมือนกันนะที่ "ภาพไม่ตรงปก" คือในรูปนี่แบบนึงแต่พอมาเจอตัวจริงกลับกลายเป็นอีกแบบนึงพนักงานจำไม่ได้ก็เลยโดนด่าเพราะไปเจอเจ้าของโรงแรมที่เจ้ายศเจ้าย่างทุกคนต้องจำข้าได้เสมอไม่ว่าเด็กเก่าเด็กใหม่เพราะฉะนั้นงานนึงที่จำเป็นเวลาไปเริ่มทำงานก็คือ "การจำหน้าเจ้าของโรงแรมและท่านๆ ทั้งหลายให้ได้นี่แหละ"
และก็มีอีกประเภทนึงที่เราจะไปเจอกับแขกที่มาบ่อยแบบที่คิดว่าตัวเองเป็น VIP เป็น FTG ประเภทที่มา C/I แล้วคิดว่าทุกคนในโรงแรมต้องรู้จักข้าไม่งั้นไม่จบเพราะจะ Complain ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเลยว่า "พนักงานจำชั้นไม่ได้" คือก็น่าเห็นใจนะเพราะถ้าถึงขนาดต้องจำหน้าแขกทุกคนให้ได้หมดนี่สมองพนักงานคงต้องไปฝัง Ship (Lose) เพิ่มอีกหลาย GB แน่ๆ เพื่อเพิ่มหน่วยความจำ
แล้วพวกเอ็งเคยโดนด่าเพราะจำเจ้าของโรงแรมหรือแขกไม่ได้กันมั่งป่ะ?? มาแบ่งปันกัน

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ตอน มินิบาร์ ฮาเฮ II


ตอน มินิบาร์ ฮาเฮ II


เรื่องมินิบาร์นี่พูดกันเป็นชาติก็ไม่จบนะหลาย ๆ ครั้งเฮียเจอการที่กินแล้วปฏิเสธว่าไม่ได้กินแบบเหนือมนุษย์จริงๆ นะ อย่างเช่นที่จะเล่าให้ฟังเคสนี้

วันนั้นจำได้ว่าตอนบ่ายเฮียกำลังยืน C/O แขกอยู่อย่างเมามันส์เพราะแขกเยอะมากปานแจกฟรี ก็ปรากฏว่ามีอนงค์นางวัยกลางคนนางหนึ่งมาถึงก็ขอ C/O เฮียก็จัดการโทรให้แม่บ้าน Check Mini Bar และ Print ตัว Guest Folio ให้ก่อนและด้วยความที่มันเป็นสถานการณ์ที่ Heavy C/O มากเพราะแขกกำลังจะกลับกินหลังจากวันหยุดยาวเฮียก็วัดดวงเลยว่า "ขอโทษนะครับคุณผู้หญิงครับ ไม่ทราบว่าได้ทานมินิบาร์ในห้องพักบ้างหรือเปล่าครับ"

พอนางได้ยินก็รีบตอบสวนมาเลยแบบมีพิรุธว่า "ไม่ได้กินค่ะ" ห้วนๆ สั้นๆ จบ คือพนักงานโรงแรมเราอ่ะจะมี Sense นิดนึงนะเวลาแขกโกหกเคสนี้เหมือนกันมันดูแปลกๆ ขณะที่เฮียรับ Guest Folio มาก็เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่บ้านได้โทรลงมาก่อนแจ้งว่า "1 แฟนต้า ค่ะ" เฮียก็จัดการแจ้งแขกที่บอกตอนแรกว่า "ไม่มี" ไปว่า "ขอโทษนะครับคุณผู้หญิงทางแม่บ้านแจ้งว่ามีการทาน แฟนต้าน้ำส้มไปนะครับ"

เท่านั้นแหละองค์ลงเลยทีนี้เสียงแข็งเลย "จะกินได้ยังไง ชั้นไม่ได้กินสักหน่อย ให้แม่บ้านเธอดูให้ดีซิ มันเหลือครบทุกกระป๋องนะ" เฮียก็เพื่อความชัวร์ก็ต่อสายหาแม่บ้านและบอกว่า "น้อง แขกบอกว่าไม่ได้กินนะ มินิบาร์ เหลือครบทุกกระป๋องเลย" แม่บ้านก็เงียบไปพักนึงก่อนบอกว่า "เฮีย ถ้านับตามจำนวนน่ะครับ แต่ที่ครบน่ะมันเป็นแฟนต้าน้ำแดงไม่ใช่น้ำส้ม โรงแรมเราไม่มีน้ำแดงนะเฮีย"

เอาและไงกูงานงอกและ เฮียก็เลยหันไปบอกแขกว่า "ขอโทษนะครับคุณผู้หญิงมินิบาร์อยู่ครบถ้วนครับ แต่ที่ผิดไปคือโรงแรมเราไม่มีแฟนต้าน้ำแดงนะครับมีแต่แฟนต้าน้ำส้มครับ กรณีนี้ผมต้องขอเก็บค่ามินิบาร์ด้วยนะคัรบ ไม่ทราบว่าคุณผู้หญิงจะรับน้ำแดงที่ลืมไว้ไหมครับ ผมจะให้แม่บ้านเอาลงมาให้" สิ่งที่ได้มาคือความเงียบและอารมณ์บึ้งตึงพร้อมกับคำถามห้วนๆ ว่า "เท่าไหร่" เฮียก็บอกราคาไป นางก็ควักมาจ่ายแบบตึงๆ เสร็จสรรพแล้วก็เดินจากไป

คือสันนิษฐานได้ว่า "คงกินไปแล้วกะว่าจะซื้อมาคืนแต่ดันซื้อผิด" เอวังด้วยประการละฉะนี้แล



บทความแนะนำ