แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องเล่าชาวโรงแรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เรื่องเล่าชาวโรงแรม แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ขอแสดงความยินดีกับชาว Accor ด้วยนะครับ


แอคคอร์ (Accor) ได้รับรางวัลบริษัทท่องเที่ยวที่ยั่งยืนที่สุด (The Most Sustainable Travel Company) จากงานประกาศผลรางวัล TTG Travel Awards 2022 ที่จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 31 ที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย นอกจากนี้ไอบิส (ibis) แบรนด์โรงแรมราคาประหยัดของแอคคอร์ ยังได้รับรางวัลแบรนด์โรงแรมราคาประหยัดที่ดีที่สุด (Best Budget Hotel Brand) เป็นครั้งที่เจ็ดอีกด้วย
รางวัล TTG Travel Awards เป็นหนึ่งในรางวัลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่องค์กรชั้นนำและบุคลากรในวงการที่มุ่งมั่นมอบความเป็นเลิศในด้านการบริการมาตั้งแต่ปี 1989
Accor เป็นกลุ่มโรงแรมรายใหญ่กลุ่มแรกที่ก่อตั้งแผนกสิ่งแวดล้อมขึ้นในปี 1994 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บริษัทได้ยืนหยัดในตำแหน่งผู้นำผ่านเป้าหมายที่มุ่งเน้นการลดการใช้พลังงาน การปกป้องสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนชุมชนในท้องถิ่นและการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น Accor Solidarity ได้รับการจัดตั้งขึ้นในปี 2561 และได้สนับสนุนโครงการชุมชนกว่า 450 โครงการใน 50 ประเทศจนถึงปัจจุบัน ในปี 2564 Accor มุ่งมั่นที่จะบรรลุการปล่อยคาร์บอน Net Zero ภายในปี 2593 ปัจจุบันกลุ่มบริษัทกำลังกำจัดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งทั้งหมดออกจากพื้นที่ประสบการณ์ของแขกและกำลังทำงานในการริเริ่มเพื่อลดขยะอาหาร
แอคคอร์เป็นกลุ่มโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดและมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์มากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันกลุ่มบริษัทดำเนินการโรงแรมมากกว่า 370 แห่งภายใต้แบรนด์โรงแรม 18 แบรนด์ทั่วภูมิภาค โดยมีโรงแรมอีก 120 แห่งที่จะเข้าร่วมเครือข่ายภายในห้าปีข้างหน้า
Nontawan Laohakiat (Toey)
Assistant Manager, Communications
Southeast Asia, Japan & South Korea

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2563

ปรับโรงแรมรับนักท่องเที่ยวด้วยหลัก Value for Money (VfM)

 ปรับโรงแรมรับนักท่องเที่ยวด้วยหลัก Value for Money (VfM)


Value for Money (VfM) หรือ “ความคุ้มค่าเงินที่จ่ายไป” กำลังกลายมาเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมต้องให้ความสนใจอย่างจริงจังหากเราย้อนกลับไปที่การประกอบธุรกิจโรงแรมก่อนหน้านี้มักจะมีการพูดกันในลักษณะของห้องพัก บริการ และคุณภาพโรงแรมที่ผู้ประกอบการโรงแรมเป็นผู้กำหนดราคาและนิยามว่า “นักท่องเที่ยวจะรู้สึกคุ้มค่าเหมาะสมกับราคาที่จ่าย” ซึ่งเป็นการคิดแบบ Inside Out แต่ในปัจจุบันและอนาคตจากผลกระทบของวิกฤติ COVID-19 ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้บริโภคหันมาระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้นสำหรับธุรกิจโรงแรมเองที่อยู่ในปัจจัยความต้องการด้านการท่องเที่ยวของผู้คนซึ่งถือเป็นสิ่งที่ “มีก็ดีไม่มีก็ได้” ซึ่งในระยะนี้ค่าใช้จ่ายด้านการท่องเที่ยวจะถือเป็นค่าใช้จ่ายลำดับสุดท้ายที่ผู้บริโภคจะจัดสรรนอกเหนือจาก ค่าอาหาร ค่ายารักษาโรค ค่าใช้จ่ายหนี้สิน ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ที่จะถูกให้ความสำคัญก่อนเป็นลำดับแรกนี่จึงเป็นที่มาของมุมมองของนักท่องเที่ยวที่จะเริ่มพิจารณามากขึ้นว่าเงินที่เขาจ่ายไปเหมาะสมกับสิ่งที่ได้รับหรือไม่?
ธุรกิจโรงแรมในปัจจุบันนี้แข่งขันกันอย่างหนักกลายเป็น Red Ocean และเกิด Price War จากผู้เล่นรายใหญ่ไปจนถึงรายเล็กเรียบร้อยแล้วด้วยข้อจำกัดด้าน Demand ที่เน้นนักท่องเที่ยวที่ในประเทศที่มีจำนวนจำกัดการสร้างมุมมองเดิมโดยยึดจากตัวราคาที่โรงแรมตั้งว่าเหมาะสมแล้วโดยไม่ให้ความสนใจกับพฤติกรรมผู้บริโภค (Customer Behavior) อาจทำให้โรงแรมปรับตัวไม่ทันกับ “โลกของการท่องเที่ยวใหม่” ได้
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การตั้งราคาขายห้องพักที่โรงแรมมักจะตั้งราคาโดยคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่โรงแรมมองว่าเป็น “ต้นทุน” บวกกับกำไรที่อยากได้แล้วให้นิยามว่า “เป็นราคาที่จ่ายแล้วคุ้มค่า” ซึ่งคำว่าคุ้มค่านี้อาจไม่ใช่ความคุ้มค่าที่นักท่องเที่ยวมองแม้ว่าเราจะขายต่ำกว่าคู่แข่งขันก็ตามเพราะสิ่งที่นักท่องเที่ยวมองคือ “ถ้าจ่ายเงินไปจำนวนเท่านี้แล้วสิ่งที่ได้รับมันคุ้มค่ากับเงินที่เค้าจ่ายหรือไม่?”
หน้าที่ของโรงแรมคือการตั้งราคากับสิทธิประโยชน์ที่ต้องทำให้นักท่องเที่ยวเห็นแล้วเกิด Heuristics คือตัดสินใจได้ทันทีเลยว่า “คุ้มค่าจริงๆ” ซึ่งความคุ้มค่านี้ต้องเป็นความคุ้มค่าของนักท่องเที่ยวไม่ใช่ความคุ้มค่าในมุมมองของโรงแรม “ความคุ้มค่าไม่ได้หมายถึงราคาที่ถูกเสมอไป” เช่น บางครั้งเราคิดว่าเรากำหนดราคาขายห้อง 40,000 บาทพร้อม Benefit อื่นๆ ที่คุ้มค่าสุดๆ ในความคิดของเราแต่กับนักท่องเที่ยวเขาอาจจะมองว่าเงิน 40,000 บาทที่จ่ายไปไม่ได้คุ้มค่าหรือบางทีก็มองว่าเป็นราคาที่ “เกินจริง” สำหรับเขาแต่กลับกันหากมีอีกโรงแรมหนึ่งขายราคา 50,000 บาทแต่ได้ Benefit ที่เหมาะสมกับราคากว่าแบบนี้นักท่องเที่ยวอาจมองว่าการจ่ายเงินให้โรงแรมนี้เป็น VfM สำหรับเขามากกว่าก็ได้ดังนั้นสิ่งที่สำคัญคือ “เราให้ได้มากกว่าหรือเหมาะสมกับที่เขาจ่ายหรือเปล่า?”
คำถามต่อมาคือ “เราจะรู้ได้อย่างไรว่าราคาเท่าไหร่ถึงจะคุ้มค่าตามที่นักท่องเที่ยวคาดหวัง?” คำตอบที่ชัดเจนคือ “เราไม่มีทางรู้ได้ว่าราคาที่เป็น VfM แบบ 100% นั้นคือเท่าไหร่” แต่เราสามารถเริ่มต้นทดลองหาราคาที่เหมาะสมได้ซึ่งสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดในประเด็นนี้คือ “การศึกษาข้อมูลพฤติกรรมการใช้จ่ายและราคาขายเฉลี่ยห้องพักแต่ละประเภท” ที่ถูกบันทึกไว้จากระบบ PMS (Property Management System) และระบบ POS (Point of Sale) หรือระบบอื่นๆ เพราะเป็นสิ่งที่เริ่มต้นได้ง่ายที่สุดแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ถูกละเลยมากที่สุดด้วยเหตุผลว่า “ระบบคำนวณมาให้แล้ว” ซึ่งถือเป็นเหตุผลที่อันตรายโดยเฉพาะในอนาคตที่เป็นยุคของ Data Analytic ใครมีข้อมูลเยอะกว่า วิเคราะห์เป็น นำมาใช้ประโยชน์ได้ธุรกิจมีโอกาสประสบความสำเร็จและองค์การต้องเป็น Data Driven Organization เป็นองค์การที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลซึ่งองค์การลักษณะนี้หากไม่มีข้อมูลมาให้พิจารณาการตัดสินใจใดๆ จะไม่เกิดขึ้นซึ่ง “การ Print Report ออกมา (หลายแห่งยกเลิกวิธีนี้กันไปเรียบร้อยแล้ว) เพื่อถือกระดาษเป็นปึกเข้า Morning Brief ตอนเช้าโดยไม่เข้าใจที่มาที่ไปซ้ำยังไม่มีความเข้าใจในการนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้พัฒนาโรงแรมถือเป็นสิ่งที่อันตรายที่สุด” เพราะ Report เหล่านี้โดยเฉพาะที่ Print ออกมาควรมีค่ามากกว่าการถูกนำไป Recycle หลัง Brief เสร็จโดยไม่ได้ใช้งาน
โดยสรุป VfM คือ “การตั้งราคาที่คุ้มค่าในมุมมองของนักท่องเที่ยว” ซึ่งการจะรู้ได้ว่าราคาไหนที่นักท่องเที่ยวต้องการสามารถทำได้ง่ายที่สุดคือการศึกษาข้อมูลในระบบของโรงแรมที่มีอยู่แล้วและอาจจะมองถึงเรื่องอื่นๆ เช่น Trend ต่างๆ กระแสต่างๆ คู่แข่ง แม้ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าหากทำตามขั้นตอนและวิธีการนี้แล้วจะได้ราคาที่นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าเป็น VfM แบบ 100% แต่เราสามารถเชื่อมั่นได้ว่าราคานั้นย่อมเป็นราคาที่มีโอกาสในการเป็น VfM ได้ในสายตานักท่องเที่ยวเช่นกัน
N. Kamolpollapat
18 Sep 2020 – 21.00 hrs.

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Service Share Special EP.1 สัมภาษณ์คุณกุลวัชร ภูริชยวโรดม แห่ง ChouNan




Hotel Man EP นี้เฮียจะพาเราไปพบกับข้อคิดดีๆ ที่เป็นกำลังใจในการต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคตลอดจนแนวความคิดในการดำเนินชีวิตและดำเนินธุรกิจจาก CEO หนุ่มแห่งเชนร้านอาหาร ChouNan จากคุณปอ - กุลวัชร ภูริชยวโรดม ที่ล่าสุดมี Project ที่จะสร้าง Franchise Eco System ที่เน้นการเจริญเติบโตร่วมกันตั้งแต่ตัวธุรกิจ คู่ค้า และท้องถิ่น พร้อมกับความมุ่งมั่นในการที่จะนำ ChouNan ขยายสาขาได้เหมือนกับ McDonald's และสำหรับโรงแรมหรือพนักงานโรงแรมไหนสนใจกับ Model ใหม่ในส่วนของ "Franchise Eco System" ของทาง ChouNan ที่มีโอกาสสร้างกำไรได้มากถึง 40% เพียงแค่รอรับ Order ที่ทาง ChouNan ส่งมาให้ต้องมาฟังรายละเอียดที่น่าสนใจนี้กันครับนอกจากนี้คุณปอยังมาเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับช่วงที่ ChouNan ต้องพบกับวิกฤตถึง 3 วิกฤตไปดูกันว่าเขาผ่านวิกฤตเหล่านั้นมาได้อย่างไรและมีแนวคิดอะไรในการใช้แก้ปัญหาพบกับรายละเอียดเหล่านี้ได้ใน Hotel Man Service Share Special EP. นี้ครับ #Hotelman #Hotelmantravel #ChouNan #HotelmanChouNan

วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2563

การเตรียมตัวรับ New Normal ใหม่ในอุตสาหกรรมโรงแรม


การเตรียมตัวรับ New Normal ใหม่ในอุตสาหกรรมโรงแรม

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่ออุตสาหกรรมโรงแรมเนื่องจากมาตรการในการบริหารจัดการเกี่ยวกับ COVID-19 ของแต่ละประเทศเน้นการ Lockdown ปิดพื้นที่เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อซึ่งมาตรการนี้ยังรวมถึงการไม่ให้มีการเดินทางข้ามเขต ข้ามรัฐ รวมทั้งข้ามประเทศและแน่นอนว่าเมื่อไม่มีการเดินทางอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวย่อมได้รับผลกระทบเป็นอุตสาหกรรมแรกๆ วิกฤตครั้งนี้เป็นผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงสำหรับประเทศไทยมีการประมาณการว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยปี 2563 จะมีรายได้ 1.12 ล้านล้านบาทลดลงถึง 1.89 ล้านล้านบาทเมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งมีรายได้รวม 3.01 ล้านบาทจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเมืองไทยในปี 2563 คาดว่าจะลดจำนวนลงเหลือเพียง 16 ล้านคนลดลงจากปีที่แล้วที่มีจำนวน 39.8 ล้านคนส่วนตลาดในประเทศจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยในปี 2563 คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 60 ล้านคน-ครั้งลดลงจากปีที่แล้วที่จำนวน 167 ล้านคน-ครั้ง สรุปคือจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไป 23.8 ล้านคนและนักท่องเที่ยวในประเทศไทยหายไป 107 ล้านคน-ครั้ง (ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ทั้งหมดนี้คือผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย





แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องที่ท้าทายต่ออุตสาหกรรมโรงแรมของประเทศไทยนั่นคือจากวิกฤต COVID-19 ทำให้เกิด New Normal ด้านมาตรฐานสุขอนามัยในอุตสาหกรรมโรงแรมในประเทศไทยขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโรงแรมจำนวนกว่า 32,564 โรงแรม (นับเฉพาะที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมาย) คิดเป็นจำนวนห้องพักกว่า 1.63 ล้านห้องทั่วประเทศ (ที่มา: สมาคมโรงแรมไทย) เนื่องจากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิงจากผลกระทบของการที่ต้องระมัดระวังตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 อยู่เสมอทำให้เกิดความเคยชินและเกิดทัศนคติต่อมาตรฐานด้านความปลอดภัยของสุขอนามัยที่เปลี่ยนไปมีการใส่ใจกับความสะอาดของโรงแรมที่จะเข้าพักมากขึ้น ใส่ใจในความสะอาดของอาหารและการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางของโรงแรมมากขึ้นและนี่คือสิ่งท้าทายของอุตสาหกรรมโรงแรมต่อ New Normal ใหม่ด้านสุขอนามัยในอุตสาหกรรมโรงแรม

โลกใบเดิมของการประกอบธุรกิจโรงแรมโดยมากปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงเป็นลำดับต้นๆ ก่อนที่จะดำเนินธุรกิจโรงแรมมักจะประกอบไปด้วย ทำเลที่ตั้ง การออกแบบที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน บริการที่แตกต่างจากคู่แข่ง ราคาขายที่เพิ่มโอกาสทางการขาย Promotion ที่ดีและที่สำคัญส่วนใหญ่เน้นการสร้าง Brand จากการชูประเด็นด้านความสะดวกสบายในการเข้าพักซึ่งในอนาคตทั้งหมดนี้อาจไม่ใช่ประเด็นสำคัญอีกต่อไปสำหรับการดำเนินธุรกิจโรงแรมแต่นักท่องเที่ยวและคู่ค้าอาจให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขอนามัยมากเป็นลำดับต้นๆ ของการตัดสินใจเลือกที่พักจาก New Normal ที่เกิดขึ้นดังนั้นผู้ประกอบการควรมีแนวทางในการบริหารจัดการสิ่งต่างๆ เหล่านี้

1.    Management Team ในส่วนของฝ่ายบริหารโดยปกติการประเมินผลงานจะยึดจาก GP (Gross Profit) หรือกำไรขั้นต้นที่เป็นการคำนวรจาก รายได้จากการขาย - ต้นทุนขาย แต่ในบางโรงแรมการจะวัดผลการปฏิบัติการของฝ่ายบริหารจะวัดจาก EBIT (Earnings Before Interest & Tax) หรือกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีซึ่งก็คือการนำเอา GP ไปลบกับ Management Expenses (ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร) ทั้งนี้อยู่ที่ข้อตกลงระหว่างเจ้าของกับฝ่ายบริหารว่าต้องการให้ใช้   GP หรือ EBIT ในการประเมินผลงานสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ New Normal ด้านสุขอนามัยในส่วนของฝ่ายบริหารคือ “ต้นทุนที่เกิดจากการที่ต้องปรับปรุงระบบสุขอนามัย” ให้สอดรับกับ Trend New Normal นี้จะถูกนำไปจัดอยู่ในค่าใช้จ่ายตัวไหนระหว่า Cost of sales (ต้นทุนขาย) หรือ Management Expense (ค่าใช้จ่ายจากการขายและการบริหาร) ตรงนี้คือสิ่งที่เจ้าของโรงแรมต้องตกลงกับฝ่ายบริหารให้ดีเพื่อป้องกันความขัดแย้งในการวัดผลการดำเนินงานของฝ่ายบริหารในอนาคตและโดยเฉพาะบางโรงแรมมีเจ้าของเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นย่อมส่งผลกระทบต่อ Dividend Yields ที่จะต้องจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นอีกด้วยดังนั้นจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการกำหนดงบประมาณเพื่อบริหารจัดการกรณีนี้เพราะย่อมไม่มีใครอยากเพิ่มรายจ่ายเพื่อเพิ่มภาระในการหารายได้ให้ตัวเองซึ่งหากเป็นเช่นนี้แผนการในการพัฒนาสุขอนามัยของโรงแรมให้สอดคล้องกับ New Normal ใหม่อาจล้มเหลวได้

2.   Room Cost ต้นทุนของห้องพักที่อาจต้องปรับเปลี่ยนเมื่อมีการยกระดับมาตรฐานด้านสุขอนามัยในโรงแรมกรณีนี้อาจทำได้ 2 แบบสำหรับแบบแรกคือการเพิ่มต้นทุนเข้าไปใน Room Cost เลย เช่น เพิ่มค่าบริการอบฆ่าเชื้อห้องพักทุกสัปดาห์หรือเพิ่มค่าใช้จ่ายในการจัดให้มีเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อในห้องพักหรือแม้แต่การ Upgrade คุณภาพของน้ำยาทำความสะอาดบางตัวให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นซึ่งมักจะมาพร้อมราคาที่สูงขึ้นด้วยแบบที่สองคือการตัด Cost บางตัวในห้องพักออกเพื่อสร้างความมั่นใจด้านสุขอนามัยแทนเพื่อไม่ให้เป็นการเพิ่มต้นทุนที่มากเกินไป เช่น การตัด Linen ในส่วนของ Bed Runner (ผ้าคาดเตียง) ออกเนื่องจากบางโรงแรมมอง Bed Runner ว่าเป็นของที่ใช้ซ้ำได้แต่ด้วยสถานการณ์นี้แขกอาจเกิดความรู้สึกกังวลในความสะอาดได้

3.   Front Office สำหรับโรงแรมหรือรีสอร์ที่เป็นลักษณ์ Open lobby เป็นพื้นที่โล่งและอากาศถ่ายเทได้สะดวกอาจไม่จำเป็นต้องปรับปรุงอะไรมากแต่สำหรับสถานที่ที่เป็นพื้นที่ปิด เช่น City Hotel ต่างๆ อาจจำเป็นที่ต้องมีเครื่องมือหรือมาตรการในการดูแลสุขอนามัยเพิ่มขึ้นสำหรับ Lobby ควรมีการจัดระยะห่างระหว่างแขกที่กำลังติดต่อ Reception และแขกที่กำลังรอรับบริการตามมาตรฐานของ Social Distancing ขั้นต่ำที่ 1.5 – 2 เมตรในส่วนของพนักงานเองก็จำเป็นต้องมีการจัด Traffic ของการรับบริการให้เหมาะสมไม่ให้คนแออัดกันมากเกินไปอย่างในกรณีช่วง Long weekend ที่มีปริมาณแขกเยอะอาจต้องมีการกระจายสถานที่สำหรับให้บริการแขกสำหรับการ Check -In, Check-Out, โดยอาจมีการเปิดพื้นที่เพิ่มเพื่อระบายแขกไม่ให้แออัดในที่เดียวกันมากเกินไปนอกจากนี้สถานที่สำหรับนั่งพักผ่อนของแขกบริเวณ Lobby ไม่ควรจัดให้มีที่นั่งที่จะเป็นการรวบตัวกันของแขกมากเกินไปควรจัดชุดที่นั่งเป็นชุดย่อยๆ ประมาณ 2-3 คนเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างกันซึ่งจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้แขกได้

4.   แผนกอาหารและเครื่องดื่ม การจัดอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์อาจต้องเว้นระยะห่างของอาหารแต่ละประเภทเพื่อรักษาระยะห่างของแขกไม่ให้แออัดรอตักอาหารใกล้กันเกินไปนอกจากนี้ควรจัดโต๊ะรับประทานอาหารแบบกลุ่มย่อย 2-3 คนเป็นหลักและหลีกเลี่ยงการจัดโต๊ะอาหารแบบรวมกลุ่มใหญ่สำหรับพนักงานที่ให้บริการควรมีการสวมถุงมือเพื่อป้องกันการสัมผัสอุปกรณ์โดยตรงนอกจากนี้ภาชนะต่างๆ เช่น จาน ช้อน แก้ว ฯลฯ อาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงให้แขกหยิบหรือสัมผัสโดยตรงเพราะในบางครั้งอุปกรณ์พวกนี้ในไลน์บุฟเฟต์แขกคนแรกหยิบแล้วแต่ไม่ใช้แขกคนต่อไปมาหยิบต่อแบบนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านสุขอนามัยได้กรณีนี้อาจใช้การมอบหมายให้พนักงานอยู่ประจำ Station ต่างๆ และแจกจ่ายให้แขกเองเนื่องจากบางครั้งแขกมีการสัมผัสภาชนะแล้วแต่เปลี่ยนใจไม่เอาไปใช้บริการและอาจมีแขกคนอื่นมารับต่อไปซึ่งอาจเป็นการเสี่ยงต่อสุขอนามัยของแขกได้สำหรับโรงแรมที่มีครัวหรือบาร์แบบเปิดอุปกรณ์บางอย่างที่ไม่เคยนำมาใช้อาจต้องมีการพิจารณาใหม่ เช่น หน้ากากกันน้ำลายขณะปรุงอาหารหรือปรุงเครื่องดื่ม เป็นต้น

5.   แผนกแม่บ้าน อาจจำเป็นที่จะต้องมีการกำหนดตารางการอบฆ่าเชื้อห้องพัก ส่วนของสำนักงาน สถานที่ส่วนกลางของโรงแรมเป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือนเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แขกผู้เข้าพักและพนักงานของโรงแรมสำหรับการทำห้องพักอาจจำเป็นที่จะต้องให้ความสนใจและจริงจังกับอุปกรณ์ป้องกันตนเองมากขึ้น เช่น มีการใช้ถุงมือทำความสะอาดที่เหมาะกับงานแต่ละแบบอย่างเคร่งครัด มีการใช้ face shield และหน้ากากอนามัย ขณะทำความสะอาด มีการใช้เจลฆ่าเชื้อหรือน้ำยาทำความสะอาดร่างกายหลังจากที่ได้ทำความสะอาดพื้นที่เรียบร้อยแล้วเพื่อความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของตนเองและแขกผู้เข้าพัก

6.   Common Area พื้นที่ส่วนกลางของโรงแรมที่แขกต้องใช้งานร่วมกันจำเป็นที่จะต้องจัดรูปแบบและการให้บริการโดยคำนึงถึงความปลอดภัยของแขกผู้เข้าพัก เช่น
-     กรณีของสระว่ายน้ำที่ควรมีการจัดเตียงอาบแดด (Sunbed) ให้มีระยะห่างตามมาตรฐานของ Social Distancing, ผ้าเช็ดตัวสระน้ำที่ใช้เสร็จแล้วพนักงานควรมีอุปกรณ์ป้องกันตัวเอง เช่น ถุงมือ หน้ากากอนามัยก่อนทำการจัดเก็บเพื่อลดการสัมผัสกับผ้าที่ใช้แล้วโดยตรง
-     สปา ควรมีการตรวจวัดอุณภูมิแขกก่อนเข้าใช้บริการรวมทั้งควรมีการหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายของพนักงานด้วยกันเองเนื่องจากเป็นแผนกที่ต้องสัมผัสกับแขกโดยตรงมากที่สุดในบางครั้งอาจมีความจำเป็นต้องปฏิเสธการให้บริการแขกที่ป่วยและมีอาการผิดปกติ เช่น จามบ่อย มีน้ำมูกตลอดเวลา เป็นต้น
-     ฟิตเนส เป็นอีกพื้นที่ปิดที่จำเป็นต้องมีการจัดการอย่างเคร่งครัด เช่น มีการติดตั้งเครื่องกรองอากาศภายในฟิตเนส มีการจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการฟิตเนสเพื่อลดความแออัด เป็นต้น

7.   Sales & Marketing อาจเพิ่มกลยุทธ์การขายโดยชูประเด็นด้านความเอาจริงเอาจังของโรงแรมต่อความปลอดภัยในสุขอนามัยของแขกเป็นจุดขายด้วยก็ได้ถือเป็นการหลีกหนีการใช้จุดขายเดิมที่เคยมีมาซึ่งส่วนใหญ่เน้นไปที่การลดราคา การนำเสนอ Promotion หรือความสวยงามของโรงแรมเป็นหลักจาก New Normal นี้อาจชูดประเด็นสุขอนามัยเพิ่มเข้ามาด้วยก็ได้ เช่น ในการทำโฆษณาโรงแรมอาจมีการโชว์ขั้นตอนการทำความสะอาดห้องพักให้แขกเห็นว่าโรงแรมมีการจัดการอย่างไรบ้างเพื่อเน้นย้ำถึงความใส่ใจต่อความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของแขก

ก่อนที่จะมีวิกฤต COVID-19 ธุรกิจโรงแรมประสบกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงเพราะนอกจากจะต้องแข่งขันกับโรงแรมที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมายแล้วยังต้องแข่งขันกับโรงแรมเถื่อน ห้องเช่ารายวันตามคอนโดมิเนียมต่างๆ หอพักรายวัน ซึ่งหลังจากเกิด New Normal นี้เชื่อว่าแขกผู้เข้าพักจะหันมาพิจารณาโรงแรมที่ถูกกฏหมายมากขึ้นด้วยเหตุผลด้านความน่าเชื่อถือในมาตรฐานสุขอนามัยซึ่งนี่ถือเป็นโอกาสดีสำหรับโรงแรมต่างๆ ในการพัฒนารูปแบบการบริการแบบ Safety Tourism ให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยต่อไป

ทั้งหมดเหล่านี้เป็น New Normal อีกอย่างที่คาดการณ์ว่าน่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการให้บริการในโรงแรมหลังจากที่วิกฤตการบาดของ COVID-19 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเพราะพฤติกรรมของแขกผู้เข้าพักยังมีความคุ้นชินกับการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้ออยู่และเริ่มคุ้นชินกับมันด้วยเหตุนี้ทางโรงแรมจึงควรต้องหามาตรการรับมือกับ New Normal สิ่งนี้ตั้งแต่ต้นเพื่อเพื่อความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจและเพิ่มความปลอดภัยด้านสุขอนามัยให้แขกผู้เข้าพักและพนักงานโรงแรมฟังดูในบางเรื่องอาจเป็นรายละเอียดที่ค่อนข้างจะเกินจริงไปตามความคิดของบางคนแต่เชื่อเถอะว่าวิกฤตการระบาดของ COVID-19 จะเป็นบทเรียนอะไรหลายๆ อย่างที่ส่งผลกระทบต่อแขกและพนักงานให้หันมาสนใจสุขภาพและความปลอดภัยด้านสุขอนามัยมากขึ้น

*หมายเหตุ* บทความนี้เป็นทรรศนะส่วนตัวของผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหน่วยงานใดๆ ทั้งสิ้นเป็นเพียงแค่การคาดการณ์ส่วนบุคคลเท่านั้น

N. Kamolpollapat

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2563





ตอน ถ้าเบ่งผิดที่ 10 ปีก็ไม่รวย ผ่าม!!!
มันจะมีหลายๆ ครั้งที่พนักงานโรงแรมอย่างเราเจอแขกประเภท “ผู้บางขวาง” เอ้ย!! “กว้างขวาง” รู้จักทุกคนรู้จักทุกสิ่ง Everything จิงเกิลเบลและจบท้ายด้วย “ขอส่วนลดและราคาพิเศษ” ที่เจอกันมากหน่อยก็ “รู้จักเจ้าของโรงแรม” แต่ก็ไม่เข้าใจถ้าเอาจริงๆ ถ้ารู้จักเห็นเพื่อนทำธุรกิจนี่ควรจะอุดหนุนนะไม่ควรขอฟรีขอส่วนลดอะไรงี้เพราะถ้าเค้าอยากลดเดี๋ยวเค้าลดให้เองแหละอันนี้ก็เป็นแนวความคิดนึงที่บ้านเราควรเปลี่ยนนะ
เรื่องของเฮีย “Foot ความ” ก่อนว่าตอนนั้นโรงแรมที่เฮียทำอยู่ Owner ค่อนข้างที่จะกว้างขวางมากซึ่งแกก็จะบอกไวว่า “ถ้าใครมาบอกว่ารู้จักแกแล้วขอส่วนลดขอพักฟรีให้โทรหาเลขาแกแล้วแจ้งก่อนว่ารู้จักจริงไหม?” เพราะตอนนั้นมันมีข่าวนึงในคอลัมน์เล็กๆ เฮียอ่านเจอไม่แน่ใจว่าใครเคยได้ยินบ้างไหมถ้าจำกันได้เป็นเคสของมิจฉาชีพคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นคนใหญ่คนโตระดับประเทศบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับเจ้าของเลยไปเบ่งจะเอาห้องพักที่โรงแรมของนักธุรกิจดังคนหนึ่งที่ปรานบุรีทีนี้ห้องพักเต็มแต่พี่แกไม่ยอมโวยวายบอก “ห้องเต็มก็จะเอาเพราะรู้จักเจ้าของ” ทีนี้ GM ก็เลยต่อสายหา Owner เพราะกลัวจะเป็นเรื่องใหญ่เนื่องจากคุณตันก็เลยโทรกลับไปหาเพื่อนแกตัวจริงที่มิจฉาชีพแอบอ้างเพื่อนแกปลายสายตอบมาว่า “ผมอยู่กรุงเทพผมไม่ได้ไปปรานบุรี” ซึ่งเอาจริงๆ คนระดับนี้ถ้าเค้าจะไปเค้าไม่ไปอ้างกับพนักงานหรอกเค้าสายตรงถึงกันอยู่แล้วพอได้ความว่าอย่างนั้น GM กำลังจะมาจัดปรากฏว่าหมอนี่ไปซะและข่าวนี้นานพอสมควรแต่เฮียเคยอ่านเจอในหนังสือพิมพ์
มาที่ Owner เฮียต่อพอพนักงานได้ Brief แบบนั้นก็เตรียมตัวปฏิบัติตามคำสั่ง Owner อย่างเคร่งครัดมาถึงวันเกิดเรื่องเป็นช่วงค่ำๆ วันหนึ่งมีแขกจากแดนสยาม Walk In เข้ามาเฮียก็กล่าวต้อนรับและให้น้องเอา Welcome Drink มาให้ “สวัสดีครับยินดีต้อนรับครับมีอะไรให้รับใช้ครับ?” แขกก็ตอบมาว่า “ห้องพักที่นี่ราคาเท่าไหร่น้อง” เฮียก็แจ้งรายละเอียดไป “ห้อง 2 Bedroom คืนละ 25,000 บาท – 3 Bedroom คืนละ 35,000 บาทครับ ไม่ทราบว่าพักกี่ท่านครับ?” แขกก็ตอบกลับมาแบบตกใจเล่นใหญ่รัชดาลัยเธียร์เตอร์เลย “โหหหหน้อง ทำไมมันแพงจัง” เฮียก็ งง ไปพักนึงเพราะก็ขายราคานี้มาตั้งแต่เปิดโรงแรมแล้วเราก็ชัดเจนในตัวตนของเราเฮียก็เลยตอบกลับแบบสุดภาพ “ห้องพักเราเป็น Pool Villa นะครับและทุกห้องเป็น Private หมดครับ” แขกก็ตอบกลับมาว่า “เดี๋ยวนะน้องพี่เป็นเพื่อน Owner น้องดูราคาให้พี่หน่อยซิ” เอาแล้วววววว มาแล้ววววว อ่ะไม่เป็นไรเค้าอาจจะรู้จักกันจริงก็ได้แต่สิ่งที่เหมือนคราวเคราะห์ของแขกคนนี้คือตอนที่แกบอกว่ารู้จัก Owner เจ้าของโรงแรมเฮียที่ In House อยู่วันนั้นกำลังเดินออกมาจากห้องพักไปขึ้นรถออกไปข้างนอกและที่ตลกคือแขกคนนี้ก็หันไปมองหน้า Owner แล้วก็ไม่ได้มีอาการว่ารู้จักกันไม่ได้เข้าไปทักทายพูดคุยอะไรปล่อยให้แกเดินผ่านไปกับสายลม
เฮียก็เลยจบปัญหาแบบรวดเร็วเลยว่า “ขอโทษนะครับคุณผู้ชายรู้จัก Owner ของเราใช่ไหมครับ? งั้นผมขออนุญาตติดต่อท่านก่อนนะครับเพราะท่านสั่งไว้ว่าถ้ามีคนรู้จักท่านมาขอราคาพิเศษให้แจ้งท่านก่อน” แขกก็เริ่มนิ่งแล้วก็ตอบกลับมา “นี่คุณหาว่าผมโกหกเหรอแบบนี้ไม่ดีเลยนะ” เฮียก็ตอบกลับ “ไม่ใช่อย่างนั้นครับคุณผู้ชายพอดี Owner ท่านอยู่ด้านล่างกำลังรอรถอยู่พอดีเลยครับเมื่อกี้ท่านเดินผ่านไปท่านอาจจะไม่เห็นคุณผู้ชายครับเดี๋ยวผมไปแจ้งท่านให้นะครับว่ามีเพื่อนมาพัก” เสร็จปุ๊บแขกก็ตกใจมากกกกก (ซึ่งก็ควรแหละมาเบ่งไม่ถูกที่ถูกเวลาซะงั้น) ก็รีบปางห้ามญาติเลย “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวผมเดินไปคุยกับเขาเอง” แล้วก็รีบเดินลงไปที่หน้าโรงแรมก่อนผ่าน Owner แล้วขึ้นรถขับออกไปเลยโดยมิได้ทักทายใดๆ ทั้งสิ้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า... รักจะเป็น FTG ก่อนเบ่งต้องดูให้ดีๆ นะ

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

แนวทางการบริหารจัดการโรงแรมในภาวะที่เกิดโรคติดต่ออันตราย COVID-19


หลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขมีมติเอกฉันท์ประกาศให้ COVID-19 หรือโคโรน่าไวรัสเป็นโรคติดต่ออันตรายตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 ลำดับที่ 14 ทำให้โรงแรมและสถานประกอบกิจการบริการอื่นๆ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวโดยตรงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหามาตรการในการป้องกันและบริหารจัดการในห้วงเวลาที่ COVID-19 ได้กลายเป็นโรคติดต่ออันตรายเรียบร้อยแล้วสำหรับวันนี้ Page Hotel Man มีแนวทางในการปฏิบัติและบริหารงานในช่วงวิกฤติจากสถานการณ์โรคระบาดมาแนะนำเพื่อเป็นแนวทางและนำไปปรับใช้กันครับ
1. การกำหนดมาตรการป้องกันนี้จำเป็นที่จะต้องวางแผนตั้งแต่ขั้นตอนการเฝ้าระวัง การสังเกตการณ์และการบริหารจัดการเมื่อเกิดเหตุ กรณีนี้ฝ่ายบริหารที่เป็นผู้กำหนดนโยบายกับพนักงานผู้ปฏิบัติงานต้องทำงานร่วมกันและสรุปเนื้อหาแนวทางปฏิบัติพร้อมกำหนดขอบเขตรายละเอียดให้ชัดเจนว่าช่วงไหนและวิธีการไหนเป็นช่วงการเฝ้าระวัง ช่วงไหนเป็นสังเกตการณ์และช่วงไหนเป็นการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุและในแต่ละขั้นตอนมีวิธีการปฏิบัติอย่างไรอาจเขียนขึ้นมาเป็น SOP (Standard Operation Procedure) เอาไว้เลยก็ได้เพื่อนำไปใช้ในอนาคต
2. อาจกำหนดคณะทำงานเฉพาะของโรงแรมขึ้นมาโดย Assign แผนกที่เกี่ยวข้องเป็นทีมเฉพาะกิจเพื่อคอยติดตามและประเมินผลสถานการณ์นี้โดยรวม (คล้ายกับทีมผจญเพลิงในโรงแรม) ซึ่งจะทำให้การติดตามสถานการร์มีความชัดเจนมากขึ้นโดยทีมนี้ต้องคอย Update รวมทั้งประเมินสถานการณ์จากข้อมูลทั้งภายในโรงแรมและภายนอกรวมทั้งติดตามและสังเกตอาการแขกและพนักงานที่เข้าข่ายเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเริ่มป่วย
ตลอดจนติดต่อและขอคำปรึกษาจากหน่วยงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้อง
3. ตรวจสอบแขกผู้เข้าพักที่มาจากประเทศที่เป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อซึ่งกรณีนี้แม้ทางราชการจะมีการคัดกรองแล้วแต่ก็เป็นไปได้ที่อาจหลุดรอดโดยการตรวจเช็คหรือแขกเจตนาไม่บอกอาจใช้การสอบถามโดยตรงตั้งแต่ตอน Check In หรือหากกลัวแขกไม่พอใจก็อาจใช้การสังเกต Passport แขกที่มีตราประทับในแล่มดูก็ได้ว่าแขกไปประเทศใดมาบ้างแล้วนอกจากนี้ควรแจ้งแขกให้ทราบว่าหากแขกรู้สึกไม่สบายหรือมีอาการป่วยที่เข้าข่ายให้ติดต่อโรงแรมทันทีโดยควรให้เหตุผลว่าที่เราต้องทำแบบนี้เนื่องด้วยเหตุใด? การปิดบังแขกโดยไม่แจ้งสถานการณ์บางคนอาจมองว่า "ไม่แจ้งเพราะจะทำให้แขกแตกตื่นทำให้แขกกลัวหรือไม่พอใจ" แต่ถ้าลองคิดอีกมุมการไม่บอกความจริงก็อาจทำให้แขกคนอื่นๆ อาจตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยงและบางคนเสี่ยงถึงชีวิตได้เช่นกันถึงตอนนั้นถ้าต้องมานั่งแก้ปัญหาเมื่อเหตุเกิดแล้วมันอาจไม่ทันต่อเวลาและความสูญเสียอาจมากจนเราไม่สามารถชดเชยอะไรให้แขกเลยก็ได้
4. การปล่อยให้แขกหรือพนักงานที่มีอาการป่วยที่น่าสงสัยทำงานและใช้บริการโรงแรมได้ตามปกติโดยเฉพาะพื้นที่สาธารณะ เช่น ห้องอาหาร สระว่ายน้ำ Lobby ฯลฯ โดยโรงแรมไม่จัดการแนะนำให้ไปพบแพทย์หรือสอบถามรายละเอียดการป่วยเพื่อนำไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคเพราะกลัวแขกไม่พอใจโรงแรมต้องคิดเสมอว่ากำลังทำให้แขกอื่นเสี่ยงไปด้วยที่อาจต้องติดเชื้อโดยไม่รู้เรื่องถ้ากังวลเรื่องการไปสอบถามอาการจากแขกที่ต้องสงสัยจะทำให้่แขกไม่พอใจก็ควรนึกถึงแขกคนอื่นๆ ที่ต้องเสี่ยงจากการใช้ Facilities ร่วมกับผู้ป่วยต้องสงสัยด้วยเช่นกัน
5. การที่ต้องทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคในการสกัดการแพร่ระบาดทำให้เราต้องแจ้งแขกว่าในบางกรณีหากแขกป่วยและเข้าข่ายต้องสงสัยว่าป่วยจาก COVID-19 เราอาจจำเป็นที่จะต้องให้เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจเช็คอาการแขกที่โรงแรมซึ่งต้องสร้างความเข้าใจตรงนี้ให้แขกก่อนหากไม่แจ้งอาจทำให้แขกไม่พอใจและเกิดความกังวลได้อย่ากังวลว่าเราแจ้งแขกตั้งแต่ตอน Check In แล้วแขกจะกลัวเพราะด้วยสถานการณ์ปัจจุบันแขกย่อมทราบอยู่แล้วว่า COVID-19 ระบาดในขั้นไหนแขกบางคนก็เข้าใจแต่บางคนก็อาจไม่เข้าใจซึ่งเราก็ต้องหาวิธีอธิบายให้แขกเข้าใจได้มากที่สุดเพราะทุกอย่างก็เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของแขกเอง
6. จัดเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ทำความสะอาดเพื่อป้องกันโรคให้พอเพียง เช่น เจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือ ผ้าปิดปาก ปรอทวัดไข้ เป็นต้น และอาจกำหนดพื้นที่กักกันโรคไว้ในโรงแรมบางส่วนด้วยก็ได้ในกรณีที่หากพบแขกป่วยและต้องรอเจ้าหน้าที่มารับ
7. ในขั้นตอนการทำความเข้าใจกับมาตรการจัดการผู้ป่วยที่เข้าข่ายเสี่ยงว่าเป็นผู้ติดเชื้อจาก COVID-19 ให้เน้นย้ำไปในจุดที่ต้องทำให้แขกเข้าใจว่า "เราทำเพื่อความปลอดภัยของแขก" โดยอาจต้องแจ้งแขกว่า "หากแขกมีอาการที่เข้าข่ายเกี่ยวข้องกับ COVID-19" ให้รีบแจ้งทางโรงแรมทันทีเพื่อทางโรงแรมจะได้ติดต่อให้ทางราชการมารับตัวแขกไปตรวจรักษาอย่างละเอียดอย่ากลัวว่าแขกจะมองว่า "เรารังเกียจและกล่าวหาว่าแขกเป็นโรคระบาด" ถ้าเลือกที่จะไม่แจ้งไม่ Inform เพื่อทำให้แขกพอใจก็ต้องคำนึงถึงโทษที่จะได้รับตามกฏหมายด้วยเพราะหากปล่อยให้แขกที่
มีอาการเสี่ยงว่าจะติดเชื้อและมีอาการต้องสงสัยยังปฏิบัติตนได้ตามปกติในพื้นที่สาธารณะของโรงแรมอาจเพิ่มโอกาสการติดเชื้อให้แขกและพนักงานคนอื่นๆ และเมื่อใดก็ตามที่ พ.ร.บ. โรคติดต่อประกาศใช้ในราชกิจานุเบกษาแล้วโทษที่เกี่ยวข้องกับแขกและโรงแรมคือ
- กรณีพบว่าตัวเองป่วยและเข้าข่ายต้องสงสัยแล้วไม่แจ้งให้หน่วยงานราชการทราบมีโทษปรับ 2 หมื่นบาท
- กรณีเจ้าของสถานประกอบการปกปิดข้อมูลไม่ทำตามคำสั่งมีโทษจำคุก 2 ปีปรับ 5 แสนบาท
8. กรณีที่แขกหรือพนักงานสงสัยว่าตนเองป่วยจากการได้รับเชื้อ COVID-19 ให้รีบแจ้งสายด่วน 1422 ทันที (แจ้งได้ทั่วประเทศฟรี) จากนั้นเจ้าหน้าที่จะประสานผู้เกี่ยวข้องจัดทีมควบคุมโรคมารับตัวไปรักษาต่อ
9. หากแขกหรือพนักงานแจ้งอาการป่วยด้วยตนเองและสงสัยว่าจะติดเชื้อ COVID-19 ควรจำกัดพื้นที่เฉพาะให้แขกก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมารับตัวไปตรวจรักษาและหลังจากที่แขกออกจากสถานที่เฉพาะแล้วควรมีมาตรการในการทำความสะอาดพื้นที่นั้นในลักษณะ Deep Clean หรือขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรคด้วยก็ได้
8. การปล่อยให้แขกหรือพนักงานที่ป่วยหรือต้องสงสัยว่าจะป่วยจาก COVID-19 ปฏิบัติตนในทางที่สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้แขกคนอื่นๆ และพนักงานติดเชื้อกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือผู้ป่วยกลายเป็น Super Spreader คือกลุ่มที่สามารถแพร่เชื้อได้มากว่าค่าเฉลี่ยที่ 10-20 คนอาจทำให้โรงแรมถูกสั่งปิดกิจการได้เพราะตามสาระสำคัญใน พ.ร.บ. โรคติดต่ออันตรายระบุไว้ว่า "กรณีเร่งด่วนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือกรุงเทพมหานครโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดหรือกรุงเทพมหานครมีอำนาจสั่งผิดสถานประกอบการได้เป็นการชั่วคราวและให้ผู้ที่เป็นหรือมีเหตุอันควรหยุดประกอบอาชีพ" ซึ่งอาจจะทำให้ความเสียหายขยายวงกว้างขึ้นไปอีกและโรงแรมจะกลายเป็นสถานที่แพร่ระบาดส่งผลต่อความเชื่อมั่นของโรงแรม
9. หมั่นสังเกตอาการแขกและพนักงานของโรงแรมและคอยติดตามอาการแขกและพนักงานที่เป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อกรณีที่พบพนักงานป่วยและเข้าข่ายเฝ้าระวังควรแจ้งหน่วยงานรัฐและให้หยุดปฏิบัติงานทันที
แม้จะดูเหมือนหลายๆ อย่างยังซ้ำเติมอุตสาหกรรมโรมแรมและการท่องเที่ยวแต่เชื่อว่าด้วยความร่วมมือร่วมใจกันการเป็นกำลังใจให้กันในที่สุดแล้วเราจะผ่านมันไปได้เพราะ "ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน" ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป COVID-19 เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วสาระสำคัญของ พ.ร.บ. อาจฟังดูรุนแรงแต่เนื่องด้วยโรคนี้เริ่มระบาดในวงกว้างและเข้าใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกวันสิ่งที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือต้องดูแลป้องกันไม่ให้เกิดเหตุและติดต่อประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทันทีที่สงสัยว่ามีผู้ป่วยในสถานประกอบการของเราเพื่อจำกัดไม่ให้เกิดความเสียหายในวงกว้างไปกว่านี้้

วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

ตอน ห่อไข่



ตอน ห่อไข่
การที่แขก Complain เกี่ยวกับเรื่องของอาหารมันเป็นเรื่องปกติที่พวกเราชาวโรงแรมเคยเจอกันมาตลอดครั้งหนึ่งเฮียเคยเจอกับการ Complain ที่แขกเอาอยางอื่นมาเปรียบเทียบกับโรงแรมและต้องการเปลี่ยนแปลงบริการของโรงแรมไปเลย (กรุณาใส่อารมณ์การพยายามเปลี่ยนแปลงแบบจริงๆ เหมือนตอนสตีฟ จ็อบส์ Present บนเวทีว่าจะเปลี่ยนโลกเข้าไปด้วยนะเพื่ออรรถรสในการอ่าน)
เรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อมีแขกคนหนึ่งเดินมาที่หน้าล็อบบี้แล้วก็ขอพบผู้จัดการเฮียก็แสดงตัวกล่าวทักทายสวัสดีครับมีอะไรให้รับใช้ครับแขกก็ทักทายกลับมา “สวัสดีค่ะน้องพี่มีเรื่องอยากจะแนะนำหน่อยค่ะ” โดยปกติแล้วในงานบริการการที่มีแขกให้คำแนะนำสำหรับการปรับปรุงบริการถือเป็นเรื่องที่ดีเฮียก็รีบแจงแขกกลับไปเลยว่า “ยินดีครับรอสักครู่นะครับ” แล้วก็หยิบปากกากับกระดาษมาเตรียมจดแขกก็เริ่มบอกเฮียว่า “เมื่อวานพี่ไปกินอาหารที่ห้องอาหารของน้องแต่ผัดไทของน้องมันห่อใข่มาซึ่งพี่ว่ามันไม่ถูกต้อง” พอพูดจบตรงนี้เฮียก็เข้าใจได้ว่า..โอเคแขกอาจจะไม่ชอบผัดไทห่อไข่หรือสั่งอาหารแล้วแต่เชฟทำผิดรูปแบบแน่ๆ เพราะไม่น่าจะเป็นไปได้ที่แขกจะ complain โดยเปรียบเทียบกับผัดไทที่อื่นที่เคยกินมา (อาจมีบ้างที่เปรียบเทียบกับที่อื่นแต่ต่อหน้าพนักงานส่วนใหญ่จะไม่ค่อยพูดเพราะรักษาน้ำใจกัน) แต่เรื่องมันดันไม่เป็นแบบที่เฮียคิดสักพักก็พูดขึ้นมาว่า “พี่ไปทานผัดไทยที่ร้าน....(เราไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน) ที่ร้านนั้นผัดไทของเค้าไม่ได้ห่อไข่มาเขาทำมาตามปกติซึ่งพี่ว่ามันดูดีกว่าและรสชาติก็ดีกว่าการห่อไข่นะ..พี่อยากให้โรงแรมของน้องเปลี่ยนการเสิร์ฟผัดไทให้ไม่ต้องห่อไข่เหมือนกับเขาดีกว่า”
เฮียก็อึ้งไปพักหนึ่งก่อนตั้งสติและกลับมาอธิบาย “ขออนุญาตแจ้งแบบนี้นะครับคือในแต่ละโรงแรมจะมีสูตรและการตกแต่งอาหารที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเพื่อสร้างความแตกต่างและความประทับใจให้กับแขกของเราครับในกรณีที่ไม่ต้องการให้ห่อไข่แขก เอ้ย!! ขออนุญาตเขียนและเว้นวรรคใหม่เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้นนะครับ :ในกรณีที่แขกไม่ต้องการผัดไทที่ห่อไข่: ก็สามารถแจ้งทางห้องอาหารได้ครับพอเราทำตามความต้องการของแขกผู้เข้าพักเสมอ”

คือเฮียก็เข้าใจได้ว่าแขกบางคนก็ไม่ชอบห่อไข่สำหรับผัดไทแต่แขกบางคนก็ชอบซึ่งงานบริการอย่างเราแขกสามารถเลือกได้อยู่แล้วเพราะตอนสั่งในเมนูส่วนใหญ่มักจะมีรูปแสดงตลอดเพราะเฮียพูดจบแขกก็สวนกลับมาว่า “น้องไม่อยากขายดีเหมือนเขาเหรอ??” เงิบแดกเลยเฮียทีนี้แล้วพี่เขาก็มาต่อดอกสอง “นี่พี่กำลังแนะนำสิ่งที่ดีให้น้องนะน้องไปดูร้านเค้าสิขายดีมากน้องไม่อยากขายดีแบบเค้าเหรอ?? ถ้าอยากขายดีแบบเขาก็ต้องทำแบบเค้าสินี่พี่หวังดีนะ” ความรู้สึกเฮียเหมือนพี่เค้ากำลังจะบอกว่า ให้โรงแรมเลิกทำเมนูแบบที่เป็นผัดไทห่อไข่แล้วไปทำให้เหมือนกับร้านที่พี่เขาบอกซึ่งพี่เค้าก็ไม่ได้สนใจว่าแขกบางคนก็ชอบผัดไทที่ห่อไข่แต่ถ้าเราเจอกรณีนี้เราก็ไม่ควรที่จะไปโต้ตอบอะไรต่อเพราะเดี๋ยวมันจะยาวเฮียก็เลยแจ้งพี่เค้าไปว่า “ขอบคุณมากนะครับยังไงเดี๋ยวจะนำเรื่องให้ฝ่ายบริหารพิจารณาต่อไปครับ” ทำแบบนี้เพื่อให้แขกรู้สึกพอใจที่ชนะเราซึ่งพี่เค้าก็จบเรื่องแล้วจากไปแต่ก่อนจากยังมีทิ้งท้ายไว้ว่ารอบหน้ากลับมาพี่จะรอกินผัดไทสูตรเดียวกับที่ร้านนั้นที่น้องปรับให้เหมือนเขานะเฮียก็ได้แต่ยิ้มแล้วก็ยิ้ม 😁😁😁

วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

จงวิเคราะห์เคสนี้ (ว่าที่กระทู้พลีชีพของเฮียเลย)

จงวิเคราะห์เคสนี้ (ว่าที่กระทู้พลีชีพของเฮียเลย)
"มีแขกหนึ่งคนขอ LCO โรงแรมตอนบ่ายสองโมง" ทางโรงแรมแจ้งว่าห้องเต็มไม่สามารถให้ LCO ได้แขกไม่พอใจและตัดสินใจว่า "จะไม่ใช้บริการโรงแรมนี้เลยตลอดชีวิต" เพราะเมื่อไปทำแบบเดียวกันอีกโรงแรมหนึ่งเขาได้รับการอนุญาตให้ LCO ได้ตามที่ขอ
??คำถาม..ในมุมมองของแขกและพนักงานเราคิดว่าเคสนี้ยุติธรรมสำหรับโรงแรมไหม??? ลองวิเคราะห์แบบถอยตัวเองออกมาจากสถานะพนักงานก่อนแล้วยืนอยู่ตรงกลางมองเข้าไปทั้งสองฝั่งทั้งแขกและพนักงานว่าเราคิดยังไง???


...สำหรับเฮีย..
มองในมุมแขกกรณีที่แขกปกติโรงแรมถ้าแขกขอ LCO ถ้าห้องมีเรามักจะให้แขกอยู่แล้วและแขกบางคนจำเป็นจริงๆ เช่น เกิดการเจ็บป่วยอยากจะพักอีกนิดหน่อยแบบนี้เชื่อว่าพนักงานทุกคนยังไงก็ยินดีให้ LCO อยู่แล้วหรือแม้แต่ขอเฉยๆ เพราะอยากอยู่ต่ออีกสักนิดถ้ามีห้องว่างก็เชื่อว่าหลายๆ คนไม่ปฏิเสธแขกแน่นอนแต่การที่พนักงานบอกว่า "ห้องเต็ม" แล้วไม่ได้ LCO จึงตัดสินโรงแรมเลยว่าไม่ดีและจะไม่ใช้บริการอีกก็ค่อนข้างจะไม่ยุติธรรมสักหน่อยเพราะคิดในมุมแขกอย่างเดียวว่าขอไม่ได้คือ "บริการไม่ดี" ทั้งที่คำว่า "ห้องเต็ม" คือถ้าให้ LCO ไปแล้วแขกใหม่มาจะไปอยู่ที่ไหนสุดท้ายก็ไปกระทบสิทธิคนอื่น..
คิดในมุมพนักงานกรณีขอ LCO เชื่อว่าหลายๆ คนถ้ามีห้องว่างส่วนใหญ่ก็ให้กันอยู่แล้วเพราะเราก็อยากสร้างความประทับใจให้กับแขกการถูกแขกตัดสินจากการ "ไม่ได้ดั่งใจ" ว่าบริการไม่ดีทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทำดีมาทั้งหมดและเราก็อยากสร้างความประทับใจให้แขกอยู่แล้วหากกรณีที่ห้องเต็มแต่พนักงานยังให้ LCO ปัญหาคือกระทบทุกส่วน (แม้แขกจะอ้างได้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องรู้เพราะคิดในมุมแขก) เช่น Front ต้องถอด Block ห้องใหม่ แม่บ้านต้อง Stand by รอทำห้องนี้อีกครั้งโดยที่มีแขกใหม่มารอเร่งอยู่แต่ก็เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องของแขกที่ต้องรู้และอยู่ที่ระบบจัดการของโรงแรมแต่จะดีกว่าไหมที่ตัดต้นตอของปัญหาไปแต่แรกด้วยการ "เคารพกฏระเบียบการเข้าพัก" ตั้งแต่แรก
เห็นหลายๆ ที่มักอ้างกันทำนองแขกกันว่า "ใครยอมและให้แขกได้มากกว่านั่นคือบริการที่เหนือความคาดหมายที่แขกประทับใจ" เช่น เคสนี้ที่แขกชอบโรงแรมใหม่ที่ไปเพราะได้ LCO ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็ไม่รู้จะมีกฏระเบียบไว้ให้ควบคุมการอยู่ร่วมกันเพื่อรักษาสิทธิของแขกคนอื่นทำไมเพราะการออกมาป่าวประกาศว่า "เธอให้สิทธินั้นไม่ได้แต่ชั้นให้ได้ชั้นดีกว่าเธอนะ" มันเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจหรือ?? ในเมื่อคุณกำลังสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้คนข้างหลังต้อง "ทิ้งกฏระเบียบเพื่อมาตามใจแขกแข่งกับคุณ" ทำไมไม่คิดอีกมุมว่าเราสามารถบริการแขกได้ภายใต้กฏระเบียบและการอยู่ร่วมกันของแขกผู้เข้าพัก "ทุกคน" ไม่ใช่บางคน
เฮียไม่เถียงว่าการยอมแขกในบางครั้งคือการบริการที่ดีและเราก็ทำกันแต่ค่อนข้างไม่เห็นด้วยกับการสปอยแขกแล้วเอาเป็นความภาคภูมิใจว่า "เราให้บริการที่เหนือความคาดหมายให้แขกประทับใจ" โดยการตามใจแขกทุกสถานการณ์ซึ่งเราไม่ได้เรื่องมากใดๆ เพราะก็เข้าใจในสถานการณ์ปัจจุบันที่โรงแรมต้องดิ้นรนหาแขกอย่างยากเย็นเช่นทุกวันนี้
แล้วพวกเราคิดกันยังไงบ้างมาแลกเปลี่ยนกัน.........?????

วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

เรื่องเล่าจากทางบ้านตอน ชีวิตต้องสู้

เรื่องเล่าจากทางบ้านตอน ชีวิตต้องสู้
จากคลิปเมื่อวานที่เราคุยกันเรื่องของคำถามที่ว่า "ไม่จบสายโรงแรมมาจะทำงานโรงแรมได้ไหม?" กับ "ทำงานโรงแรมแผนกหนึ่งแล้วจะย้ายไปอีกแผนกหนึ่งได้ไหม?" วันนี้เฮียมีเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงของสมาชิกเพจเรามาเล่าให้ฟังครับว่าก่อนที่เขาจะมาทำงานโรงแรมเขาผ่านอะไรมาบ้างซึ่งบอกเลยว่าบางงานไม่ได้เกี่ยวอะไรกับโรงแรมเลย
....................................................................................


ประสพการณ์ส่วนตัวของผม ที่ได้เข้ามาทำงานเกี่ยวกับการโรงแรม
1. เป็นเด็กติดรถส่งน้ำแข็ง8เดือน
-ไปส่งน้ำแข็งให้ร้าน7/11อยู่เป็นประจำ เห็นพนักงานเซเว่นคิดเงิน ขายของให้ลูกค้า อยู่ในห้องแอร์ ก็เลยอยากทำงานเซเว่น เพราะเป็นคนที่ชอบใช้ความคิดทำงาน มากกว่าใช้แรงงาน ในตอนนั้นก็ยอมรับตรงๆว่าทำงานส่งน้ำแข็งเพื่อขั้นเวลา ในการคว้าโอกาส มองหางานใหม่ๆที่ตรงกับความถนัด
2. มาทำงานเป็นพนักงานเซเว่น1ปี ด้วยบูญเก่าที่เคยทำงานส่งของให้ร้านเซเว่นมาก่อน จึงทำให้รู้จัก ผจก. แต่ละร้าน เลยสมัครเข้ามาไม่ยากและได้ลงในสาขาพื้นที่ที่ต้องการ
ทำเซเว่นไปได้ 2 เดือน ก็เข้าใจระบบการทำงาน ว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่มันก็ไม่ได้สบายอย่างที่คิดเช่นกัน ทำได้เกือบ 1 ปี ก็เริ่มหมดpasssion ด้วยร้างกายที่เหนื่อยล้า และการทำงานที่จำเจ ไม่ค่อยมีความท้าทาย การให้บริการลูกค้า ก็เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ และเป็นแพทเทิ้ลเดิมๆ เซเว่นสาขาที่ทำ ณ ตอนนั้น ได้เช้าพื้นที่ชั้น1ของโรงแรม เลยทำให้ได้ครูพักลักจำ การทำงานของ Bell boy ได้เรียนรู้วิธีการบริการ ได้เห็นรายได้ค่าตอบแทนที่เขาได้รับ(ทิบ) ก็เกิดแรงจูงใจที่อยากจะลองกระโดดเข้ามาทำในสายงานโรงแรม
3. เข้ามาทำงานโรงแรม จนถึงตอนนี้ก็ยังทำอยู่ 5 ปีกว่าๆ ครบ 6 ปี วันที่ 31ตุลาคม 2563. โรงแรมแห่งแรกเกือบ 1 ปี เป็นโรงแรมขนาดเล็ก เข้ามาเป็น Bell boy คอยบริการ ช่วยลูกค้ายกกระเป๋าได้เรียนรู้งานด้านบริการมากมาย และได้ทำให้รู้ใจตัวเองว่า เราขอบงานบริการแนวนี้ มันไม่ใช้งานบริการแบบงานเซเว่น ที่บริการลุกค้าในระยะเวลาสั้นๆ และเป็นแพทเทิ้ลเดิมๆ ที่ลูกค้าไม่ได้สนใจบริการของเราที่นำเสนอออกไป เขาแค่อยากซื้อของแล้วก็ไปงานบริการลูกค้าของโรงแรม เป็นการให้บริการตลอดเวลาที่ลูกค้า จ่ายเงินซื้อเวลาเพื่อมาใช้บริการสินค้าของเรา มันไม่มีแพทเทิ้ล มันอินฟินิตี้ มันมีความหลากหลาย และมีความท้าทายที่ไม่เหมือนกันในแต่ละเคส เมื่อผมรู้ใจตัวเอง ว่านี้แหละ คืองานที่ผมถนัดเป็นงานที่ผมทำแล้วมีความสุขผมจึงเริ่มตระเวนเขียนใบสมัครอีกครั้ง และครั้งนี้เป้าหมายผมคือโรงแรมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
3.2 เข้ามาทำโรงแรมแห่งที่ 2 เป็นเวลา 4ปี ครั้งนี้ผมได้เข้ามาทำงานโรงแรมที่อยู่ใจกลางเมือง เป็นโรงแรมขนาดใหญ่ มีชื่อเสียงติด Top 5 ของจังหวัดสุราษฏร์ธานี ณ ที่แห่งนี้ ผมได้ประสพการณการทำงานที่หลากหลายมาก ผมได้วิชาการทำห้อง ปู ปัด กวาด เช็ด ถู จากการสอนของคุณน้า คูณป้าแม่บ้าน ด้ความรู้งานช่างจากข่างประจำโรงแรม ตั้งแต่การแก้ไขช่องทีวี ซ่อมเครื่องทำน้ำอุ่น ซ่อมระบบประปาเปลี่ยนก็อกน้ำ สายฉีดตูด ซ่อมแอร์ ดูแลระบบไฟ ระบบกลอนประตูหน้าต่าง ระบบคีย์การ์ด เพราะหลังจาก5โมงเย็น แม่บ้านกับช่างเลิกงาน ผมจะต้องทำหน้าทีแทนแม่บ้านและช่างเพราะที่นี่ห้องเต็มเกือบทุกวัน อุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องจึงเสื่อมสภาพใว และ bell boy จะต้องซ่ิมและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ เพราะห้องสำรองบางวันแทบไม่มีเพราะลูกค้าล้นและถ้าเกิดมีลูกค้าc/o จะต้องรีบไปทำห้องทันทีเพื่อรีบส่งห้องให้frontเปิดขายงานที่นี่หนัก มีแรงกดดันสูง ขอบเขตหน้าที่ ความรับผิดชอบเยอะ แต่ด้วยความถนัด จึงทำให้ผมสนุกไปกับการทำงาน ประกอบกับมีแรงจูงใจที่ได้ค่าตอบแทนที่สูง สวัสดิการล้นเหลือจนใช้ไม่ใหวจนวันนึงมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตเมื่อผมต้องมีปัญหาส่วนตัวกับบุคคลากรที่ทำงานในองค์การณ์เดียวกันจนเกิดความลำบากใจในการทำงาน เป็นทุกข์กับปัญหานั้นจนไม่ได้โฟกัสกับการทำงาน เมื่อการทำงานดรอบล ความสนุกในการทำงานไม่มี ผมจึงตัดสินใจ ยุติบทบาทbell boy และงานบริการที่ผมรักลงในปีที่ 5
ผมพักกายพักใจ พักสมอง ปล่อยว่างอยู่หบายเดือนและเริ่มตั้งเป้าหมายอีกครั้งครั้งนี้ผมตระเวนเขียนใบสมัคร เป้าหมายคือผมต้องเป็นหน้า front เพราะมันคือสายงานที่ผมทำงานไกล้ชิดกับ front มาตลอดแต่ไม่เคยได้เรียนรู้ระบบการทำงาในส่วนของfrontเลยสักครั้ง และผมก็ได้รับโอกาสนั้นเมื่อเร็วๆนี้มี ceo ท่านนึงได้มอบโอกาสให้ผม ให้โอกาสเด็กจบ ม.6 ได้เข้ามาเรียนรู้หาประสบการณ์
4.ได้มาทำงานหน้า front 1เดือนมันทำให้ผมได้รู้ว่ายังมีอีกหลายสิ่งที่ท้ายทายให้ตัวผมอยากเรียนรู้ ความสนุกในการทำงานสายงานนี้ของผมกลับมาอีกครั้ง ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาจนถึง ณ ตอนนี้ ผมคงแชร์และบอกต่อได้เพียงเท่านี้
ผมอยากจะช่วยยืนยันอีกเสียงว่า ถ้ามีโอกาสและเราเปิดรับ มันก็มีโอกาสเป็นไปได้โอกาสของผม ได้มาด้วยการไคว่คว้า ผมตระเวนสมัครราวๆ 7แห่ง สอบสัมภาสษณ์แข่งกับคนจบ ป.ตรี จบใหม่ตั้งหลายคนโปรไฟล์ผมใน resume ผมแพ้ทุกคนอย่างขาดลอย เรียนจบไม่สูง จบแค่ม.6 สายศิลป์ทั่วไป เกรดเฉลี่ย 1.91 ต่ำเตี้ยเรี้ยดินแต่ในการสอบสัมภาสผมสามารถตอบคำถามหลายๆอย่างได้อย่างมั่นใจสามารถตอบคำถาม การแก้ปัญหา ที่ผู้สัมภาสยกตัวอย่างสถานการณ์มาเป็นโจทย์ ให้คิดตัดสินใจแก้ปัญหา ด้วยวิธีที่เหมาะสมกับปัญหาและสถานการณ์ได้
เพราะผมไม่เคยเกี่ยงงาน เกี่ยงหน้าที่
การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มันคือกำไรของชีวิต
ผมไม่เคยเกี่ยงงานช่างว่าเหนื่อยหรือสกปรก
ผมไม่เคยเกี่ยงงานแม่บ้านว่าจุกจิกหรือขยะแขยงห้องสกปรกคราบน้ำคัดหลั่งในถุงขยะมีถุงยางใช้แล้วผมก็ไม่เกี่ยงที่จะทำมันจงทำงานที่เราทำแล้วมีความสุข อล้วเราจะสนุกและพร้อมเรียนรู้ทุกสิ่งเกี่ยวกับมัน
Credit: Watcharin BugTorque
แล้วพวกเอ็งคนอื่นๆ ล่ะมีเรื่องตัวเองอยากจะเล่าบ้างไหมว่าได้โอกาสเข้ามายังไงและทำไมถึงรักงานโรงแรม???

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563

Service Share EP. นี้เฮียจะพาเราไปพบกับอีกหนึ่งปัญหาของพนักงานโรงแรมและอาจจะงานอื่นๆ เวลาที่เราเกิด "สับสน" ขึ้นมาว่า "จะเปลี่ยนงานหรือไม่เปลี่ยนงานดี?" ซึ่งเฮียเชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยเจอประสบการณ์นี้มาแล้วเวลาที่ "มีงานตำแหน่งดีๆ มาแต่เงินเดือนเท่าเดิม" กับ "เงินเดือนมากกว่าแต่ตำแหน่งลดลงหรือเท่าเดิม" วันนี้เฮียมีไอเดียประกอบการตัดสินใจมาฝากครับ
#Hotelman #Hotelmantravel #งานโรงแรม #โรงแรม


วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2563

ตอน “แตกแจกทอง”

ตอน “แตกแจกทอง”

เรื่องนี้เกิดขึ้นจากปัญหาภายในครอบครัวที่ไม่รู้ว่ามันมาเป็นปัญหาของเราๆ ได้ยังไงเรื่องมันเริ่มขึ้นช่วงค่ำๆ วันหนึ่งมีแขกคู่สามี-ภรรยาแดนจิงโจ้มา C/I เฮียก็เป็นคนรับ C/I กระบวนการก็ผ่านไปอย่างปกติแต่สิ่งที่ไม่ปกติคือปฏิกิริยาของคู่รักจิงโจ้คู่นี้คือมีหลายๆ ครั้งที่ภรรยามองกระดาษ เอ้ย!!! กรรไกร เอ้ย!!! ค้อน เอ้ย!! ถูกแล้ว ผ่าม!! (นิดนึงมุข 5 บาท 10 บาทก็เอา) ภรรยามอง Hammer (ค้อน) สามีแบบไม่มีเหตุผลที่สำคัญสามีแกดูกลัวๆ หลอนๆ เหมือนไปทำอะไรผิดมาแต่ก็ไม่ได้รุนแรงอะไรเพราะทั้งสองคนก็พูดคุยกับเฮียปกติและตัวสามีก็ไม่ได้พูดโต้ตอบอะไรตอนที่ภรรยามอง Hammer เฮียก็จัดการ C/I แต่ทั้งสองก็พูดกับเฮียดียิ้มแย้มปกติพอรับ key Card ไปเฮียก็ Offer ว่าจะ Escort ไปส่งที่ห้องพักแต่แขกไม่เอาบอกว่าจะเดินไปเองเฮียก็ไม่ได้ว่าอะไรได้แต่บอกทางไปลิฟท์ทีนี้ในระหว่างเดินไปเฮียเห็นเหมือนสามีเดินห่างๆ ภรรยาโดยที่ภรรยาก็พยายามตะคอกตลอดทางและคอยดึงเสื้อให้มาเดินใกล้ๆ กันแบบที่สามีดูกลัวๆ เกรงๆ แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าลิฟท์ไปที่ห้อง

ด้วยความเอะใจเฮียก็แจ้ง รปภ.ให้คอยดู CCTV หน้าห้องพักห้องนี้ไว้หน่อยนะเหมือนจะมีเหตุอะไรหรือเปล่าไม่แน่ใจแต่ก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ก็ผ่านไปจนถึงเวลาประมาณ 5 ทุ่มเวลาดีมากอยู่ๆ ก็มีโทรศัพท์โทรมาลงที่ Operator น้องมันก็โอนสายมาให้เฮียและบอกด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “เฮียคะแขกจะขอคุยกับ Manager ด่วนค่ะเสียงเค้าเหมือนทะเลาะกันอยู่” เฮียก็รีบรับสายมายังไม่ทันพูดจบว่า “ฉันเป็นผู้จัดการมีอะไรให้ช่วยเหลือไหม?” เสียงปลายสายเป็นผู้ชายพูดสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงตกใจและกลัวมากว่า “ช่วยชั้นด้วย เรียกตำรวจทีช่วยชั้นด้วยเค้าตีชั้น” เฮียก็ละจากสายมาแป๊บนึงแล้วบอกให้น้อง G.S.A กับ Bell Boy เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วขึ้นไปข้างบนหาแขกก่อนแล้วให้เรีย Security ไปด้วยโดยที่เฮียพยายามคุยกับแขกเรียกสติก่อนเพื่อให้ได้รายละเอียดเพิ่มเติมเฮียบอกแขกไปว่า “ยูใจเย็นๆ ก่อนนะยูบอกชั้นได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นใครจะทำร้ายยู? ชั้นให้พนักงานขึ้นไปช่วยยูแล้วนะแต่ยูใจเย็นๆ นะ”

ปลายสายก็ตอบมา “เค้าจะตีชั้นช่วยชั้นด้วย (เมื่อกี้บอกตีแล้ว)” แล้วสักพักก็มีเสียงผู้หญิงพูดแทรกมาว่า “วางสายลงแล้วมาคุยชั้นเดี๋ยวนี้..จะไปวุ่นวายกับพนักงานทำไม” แล้วเสียงผู้ชายก็พูดตอบกับผู้หญิงไปว่า “เธอตีชั้น เธอตีชั้น” ก่อนฝ่ายหญิงจะมาพูดสายกับเฮียแทนว่า “It’s OK ไม่มีปัญหาอะไรเราเคลียร์ปัญหาส่วนตัวกันเฉยๆ” แล้วสายก็ตัดไปคือก็เข้าใจแหละว่าคำว่า “ปัญหาส่วนตัว” นี่เราไปช่วยมากจะกลายเป็น “สอ ใส่เกือก ผูกเชือก กอ ไก่ (เสือก) เข้าให้อีกและ Ship Lost กันมาเยอะแล้วกับเรื่องผัว-เมีย” แต่ก็นะหน้าที่เราก็ต้อง Make Sure ว่าแขกปลอดภัยเฮียก็รีบวิ่งขึ้นไปบนห้องไปถึงก็เจอน้องๆ หน่วยเคลื่อนที่เร็วรออยู่หน้าห้องพักเฮียไปถึงก็เคาะเรียกแขกเลยแป๊บเดียวแขกผู้หญิงก็มาเปิดประตูพอเห็นหน้าเฮียก็ทำหน้า งงๆ แล้วถามว่า “มีอะไรเหรอ?” เฮียก็เลยตอบไปว่า “สามียูน่าโทรไปแจ้งพนักงานว่ายูจะทำร้ายเค้าเราเลยขึ้นมาดูเพื่อความปลอดภัยมาตรฐานการดูแลแขกผู้เข้าพักของโรงแรมเราอยากมั่นใจว่ายูทั้งสองคน OK” เมียก็ทำหน้า งง กับเฮียซึ่งตอนนี้เค้าไม่ได้แปลงร่างเป็น FTG กับเฮียนะแต่คนที่ชะตาขาดน่ะคือสามีแกนี่แหละเพราะเจ้แกหันควับไปมองสามีแล้วก็ด่าไปว่า “ยูโทรไปแจ้งพวกเค้าทำไมนี่มันเรื่องของเรายูไปทำอะไรผิดไว้ชั้นต้องจัดการกับยูพวกเค้าไม่เกี่ยว” เฮียก็ งง สักพักเมียเขาก็หันมาบอกว่า “ไม่มีอะไรหรอกแค่ชั้นจับได้ว่าเค้ามีผู้หญิงคนอื่นและคุยกันมานานแล้วชั้นต้องการคำอธิบายและการสำนึกผิดจากเค้าและเรามาที่นี่ตามแผนที่เราจองไว้เราเลยกะจะมาเคลียร์ปัญหากันที่นี่” เฮียก็พอเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของสามีภรรยาก็เลยแจ้งแขกไปว่า “เราต้องขอให้ยูอย่าเสียงดังรบกวนคนอื่นนะและการใช้ความรุนแรงไม่ใช่ทางออกของปัญหาเกิดสามียูบาดเจ็บขึ้นมาจะเป็นเรื่องใหญ่โตยูค่อยๆ พูดกันดีกว่านะ” ตัวของภรรยาก็ตอบเฮียมาว่า “Ok ไม่มีปัญหา” แต่ตัวสามีเหมือนจะสงบสติอารมณ์ได้และก็เดินมาแต่ยังอยู่ห่างๆ ภรรยาแล้วตะโกนข้ามมาบอกเฮียว่า “ขอโทษด้วยนะ..ชั้น Ok แล้ว” อ่ะ..แขกบอกว่า OK ก็ OK




พอลงมาจากห้องเฮียก็สั่งน้อง Operator ไว้ว่า “ถ้าแขกโทรมาขอของมีคมหรืออะไรที่จะเสี่ยงต่อการใช้เป็นอาวุธให้แจ้งเฮียเลยและห้ามเอาไปให้ถ้าสั่งข้าวก็ให้แจ้งด้วยเพราะจะให้พนักงานขึ้นไปขอเก็บจาน ช้อน ส้อม ทันที” แล้วก็ให้ Security คอยเดินสำรวจหน้าห้องนี้เป็นระยะๆ แต่สุดท้ายเคสนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดีแบบไม่มีอะไรน่ากลัวเกิดขึ้นเพราะรุ่งเช้าทั้ง 2 ก็เดินกระหนุงกระหนิงมากินข้าวกันปกติ....ดีนะไม่แตกไม่งั้นแอนตาซิลจ่ายเข็มละ 500 แล้ว #Hotelman #Hotelmantravel #ยอดมนุษย์โรงแรม #HotelMan

บทความแนะนำ