เรื่องหลอนก่อนนอน ตอน “ใคร” EP.1
“ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จและตั้งใจเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการฝึกงานครั้งนี้ให้เต็มที่นะคะ” ทันทีที่จบประโยคนี้การเรียนการสอนวันสุดท้ายของภาคเรียนนี้ได้สิ้นสุดลงและต่อจากนี้พวกเราทุกคนจะเข้าสู่ช่วงเวลาของการ “ฝึกงาน” ซึ่งถือเป็นอีกส่วนหนึ่งในการเพิ่มพูนทักษะภาคปฏิบัติให้กับเราเพื่อให้เราได้จบออกไปเป็นบุคคลากรด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ
ผมชื่อ "ลม" ครับเป็นนักศึกษาการโรงแรมและการท่องเที่ยวของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในภาคอีสานสาเหตุที่ผมเลือกเรียนสาขานี้ก็ไม่มีอะไรมากครับคือมันมีคนข้างบ้านของผมที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันแกไปทำงานโรงแรมที่กรุงเทพแล้วมีเงินมีทองกลับมาให้พ่อให้แม่ที่บ้านมากมายจนซื้อที่ซื้อทางได้พ่อแม่ของผมก็เลยอยากให้เรียนสาขานี้บ้างผมก็เลยได้มาเรียนที่นี่ครับ
อย่างที่บอกว่าผมกำลังอยู่ในช่วงที่จะต้องไปฝึกงานตามข้อกำหนดของหลักสูตรในช่วงที่ผมและเพื่อนตระเวนหาโรงแรมในการฝึกงานก่อนหน้านั้นประมาณ 2-3 เดือนเพื่อนของผมที่ชื่อ “ไอ้ชิน” มันบังเอิญไปรู้จักกับลูกเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่งชื่อ “เอส” เข้าผ่านการไปเตะบอลด้วยกันหลายครั้งแล้วคุยกันถูกคอก็เลยสนิทกันทีนี้มันก็เลยพูดทีเล่นทีจริงว่า “ขอไปฝึกงานโรงแรมเอสได้ไหม?” ซึ่งเอสก็ตอบตกลงเพราะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไรอีกทั้งหลายๆ ครั้งโรงแรมเอสก็รับนักศึกษาฝึกงานอยู่แล้ว จากนั้นไอ้ชินกับผมก็แจ้งอาจารย์เกี่ยวกับโรงแรมที่จะไปฝึกงานซึ่งอาจารย์ก็จัดการติดต่อฝ่ายบุคคลของโรงแรมเพื่อทำเรื่องขอไปฝึกงานโดยที่เอสได้บอกไอ้ชินไว้ว่าถ้ามีอะไรให้ติดต่อคนชื่อพี่นีซึ่งพี่นี แกเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคลที่โรงแรมของเอสและดูแลเรื่องนักศึกษาฝึกงาน
พอถึงวันที่ผมจะต้องเดินทางไปฝึกงานที่โรงแรมของเอสไอ้ชินก็ได้โทรไปบอกเอสว่าเรากำลังจะไปฝึกงานที่โรงแรมของเอสและกะว่าจะนัดเจอกันแต่โทรไปหลายครั้งดันติดต่อไม่ได้เพราะสัญญาณเหมือนบอกว่าเอสปิดเครื่องเราสองคนก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะกะว่าติดต่อฝ่ายบุคคลไว้แล้วที่สำคัญเราอยู่หอพักของโรงแรมเดี๋ยวก็น่าจะติดต่อเอสได้ไม่ยากเพราะยังไงเอสก็น่าจะมาที่โรงแรมอยู่แล้ว
ผมและไอ้ชินก็นั่งรถโดยสารไปยังโรงแรมสำหรับโรงแรมนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เรียกได้ว่า “เป็นแหล่งโอโซนติดอันดับโลกที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง” ลักษณะเป็นตึก 2 ตึกแยกกันคั่นกลางด้วยสระว่ายน้ำและสวน มีตัวห้องอาหารสไตล์เรือนไทยแยกออกไปโดยรวมแล้วถือว่าเป็นโรงแรมขนาดใหญ่พอสมควรเลยครับ จุดขายที่นี่น่าจะเป็นบรรยากาศร่มรื่นที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ มีลมพัดเย็นๆ แบบธรรมชาติตลอดเวลา พลันที่ผมและไอ้ชินมาถึงที่โรงแรมเราสองคนก็ติดต่อพี่ รปภ.และแจ้งว่า “เราจะมาฝึกงาน” พี่ รปภ. พอได้ยินว่าจะมาฝึกงานแกก็ชะงักไปทีนึงแล้วก็ถามย้ำกลับมาว่า “มาฝึกงานเหรอน้อง?” ไอ้ชินมันปากไวกว่าผมมันก็ตอบกลับไปว่า “ใช่ครับพี่ผมสองคนมาฝึกงาน” พี่แกก็นิ่งไปสักพักแล้วก็ก้มไปหยิบโทรศัพท์เพื่อโทรหาฝ่ายบุคคลก่อนที่แกจะบ่นพึมพำเสียงเบาๆ ผมได้ยินไม่ชัดแต่จับใจความได้ประมาณแกพูดว่า “ไม่รับเด็กฝึกงานมาตั้งนานแล้วทำไมอยู่ๆ เกิดมารับเอาตอนนี้วะ?” แต่ด้วยเสียงแกเบาไปหน่อยผมได้ยินไม่ค่อยชัดเลยไม่ได้สนใจอะไร ส่วนจะหันไปถามไอ้ชินก็คงไม่ต้องไปหวังพึ่งอะไรกับมันหรอกเพราะตอนนี้มันกำลังไล่ถ่ายรูปทางเข้าโรงแรมกับตัวมันเองอย่างเมามัน
พี่ รปภ.โทรหาฝ่ายบุคคลสักครู่ก็แจ้งให้เราเข้าไปที่ออฟฟิศฝ่ายบุคคลซึ่งอยู่ด้านหลังป้อม รปภ.ไม่ไกลนักผมและไอ้ชินขอบคุณแกแล้วก็เดินไป ระหว่างทางที่เดินไปที่ฝ่ายบุคคลนั้นสองข้างทางจะมีต้นไม้สูงขึ้นขนาบข้างกันแต่ถูกตกแต่งไม่ให้รกให้ความร่มรื่นดีเพียงแต่ถ้าในช่วงเวลากลางคืนน่าจะดูวังเวงพิกลเดินมาเรื่อยๆ จนเห็นออฟฟิศฝ่ายบุคคลอยู่ข้างหน้าไม่ไกลสายตาผมเหลือบไปเห็นสิ่งๆ หนึ่งอยู่ข้างทางตอนแรกที่หางตาผมเห็นมันเหมือนเป็นกล่องโฟมที่ใส่ข้าวกางอยู่พอเพ่งไปดีๆ ผมเห็นในกล่องนั้นมีข้าวราดแกงกับขนมอยู่ในนั้นพร้อมกับน้ำขวดเล็กอีกหนึ่งขวดและที่สำคัญมีธูปที่ดับแล้วอยู่ 1 ดอกปักอยู่ตรงกลางข้าวกล่องนั้น
ผมเห็นแล้วก็กะจะชี้ให้ไอ้ชินดูแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะก็พอรู้มาว่ามันน่าจะเป็นการไหว้สัมภเวสีแต่ที่รู้สึกแปลกๆ คือพอมองถัดจากกล่องอาหารขึ้นไปมันมีรูปปั้นอยู่คู่หนึ่งเป็นรูปตุ๊กตาผู้ชายกับผู้หญิงอยู่ใต้ต้นไม้ซึ่งถ้าไม่สังเกตดีๆ จะมองไม่เห็นเพราะค่อนข้างเล็กและอยู่ระดับเดียวกับต้นไม้ทรงเตี้ยๆ ผมหันมาสะกิดให้ไอ้ชินดูจังหวะที่ผมหันไปบอกเพื่อให้มันมาดูไอ้ชินมันหันมาก่อนแล้วผมหันกลับตามมาปรากฎว่าไอ้ชินมันบอกกับผมว่า “มึงให้กูดูอะไรวะมีแต่ต้นไม้?” ผมหันกลับไปมองที่เดิมปรากฎว่าข้าวกับตุ๊กตาเมื่อกี้มันไม่มี ตรงนั้นมันมีแค่ต้นไม้เฉยๆ ไม่มีร่องรอยของอะไรเลย ผมก็ งง นะว่า “เฮ้ย เมื่อกี้กูยังเห็นอยู่เลย?” แล้วก็ยังเถียงกับไอ้ชินว่า “เฮ้ยกูเห็นจริงๆ นะมึง” ไอ้ชินมันตอบกลับมาว่า “มึงมั่วแล้วไอ้ลม....แดกยาแก้เมารถไปแล้วมึนหรือเปล่ามึง?” ผมเถียงกับมันอยู่สักพักก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากออฟฟิศฝ่ายบุคคลแล้วกวักมือเรียกเราสองคน
ผมและไอ้ชินก็รีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินเข้าไปเพราะผู้ใหญ่เรียกต้องรักษามารยาทหน่อยไปถึงก็เจอกับ “พี่นี” ที่ออกมารับผมและไอ้ชินก็ยกมือไหว้เคารพแกซึ่งแกก็รับไหว้แล้วก็เอ่ยปากถามมาว่า “ เหนื่อยกันไหมนี่ก็จะเที่ยงแล้วเดี๋ยวไปกินข้าวกับพี่ก่อนที่แคนทีนนะ” แล้วแกก็พาเราไปแคนทีนเพื่อกินข้าวเที่ยงกันก่อนและกลับมาทำเรื่องต่อทีหลัง
ระหว่างทางเดินไปแคนทีนเนื่องจากมันใกล้จะเที่ยงแล้วผมและไอ้ชินเดินไปเรื่อยๆ ก็เจอกับพนักงานที่กำลังทยอยลงมากินข้าวกลางวันสิ่งที่น่าแปลกใจคือทุกคนมองผมกับไอ้ชินแบบแปลกๆ งงๆ ประมาณว่าไอ้นี่เป็นใครคืออาการของทุกคนเหมือนไม่ได้ งง ว่าผมสองคนเป็นเด็กฝึกงานเข้ามาแต่ทุกคนเหมือนกำลัง งง ว่า “นี่โรงแรมรับเด็กฝึกงานแล้วเหรอ” เหมือนประมาณว่าที่นี่ไม่เคยมีเด็กฝึกงานมานานแล้วนั่นแหละครับ
ไอ้ชินมันหันมากระซิบบอกผมด้วยความแปลกใจว่า “เฮ้ยไอ้ลมทำไมพวกพี่ๆ เค้ามองเราแปลกๆ วะ?” ผมไม่อยากให้มันคิดมากก็เลยบอกไปว่า “เออ ไม่มีอะไรหรอกมั้งเค้าคง งง แหละที่มีเด็กใหม่เข้ามา” แม้เราสองคนจะสงสัยแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากยังคงเดินตามพี่นีไปถึงห้องแคนทีน พอไปถึงประตูทางเข้าแคนทีนไอ้ชินมันเดินเข้าไปก่อนแต่ตอนนั้นอะไรดลใจผมไม่รู้ให้เงยหน้าขึ้นไปดูผนังด้านบนของประตูปรากฎว่ามันมียันต์อยู่หนึ่งอันแปะอยู่หนึ่งอันที่แปลกคือมันเป็นภาษาที่ผมอ่านไม่ออกและน่าจะไม่ใช่ผ้ายันต์ของเกจิอาจารย์ที่ไหนเพราะมันดูเหมือนักบเป็นแผ่นธรรมดาที่เอาตัวอักษรต่างๆ เหล่านั้นมาเขียนไว้
ในขณะที่ยืนดูผ้ายันต์อยู่คนเดียว ณ ตอนนั้นซึ่งไอ้ชินกับพี่นีเข้าไปรับอาหารแล้วจู่ๆ ผมก็เกิดอาการขนลุกทั่วตัวตั้งแต่หัวเลยนะครับอาการตอนนั้นคือรู้สึกได้เลยถึงคำว่า “ขนหัวลุก” แล้วจู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูว่า “นาย ๆ” จะว่าผมหูฝาดก็ไม่น่าจะใช่เพราะผมว่าผมก็ได้ยินเหมือนคนเรียกจริงๆ แต่ใจหนึ่งก็คิดไปได้ว่ามันอาจจะเป็นพนักงานที่รุ่นราวคราวเดียวกับผมที่ลงมากินข้าวเรียกหรือเปล่าผมค่อยๆ หันหลังกลับไปดูปรากฎว่าด้านหลังของผมนั้น “ไม่มีใครอยู่เลยสักคนครับ”
โปรดติดตามตอนต่อไป...
#hotelmanstory #hotelman #hotelmantravel #hotelblogger #hotelreviewer #เรื่องหลอนก่อนนอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น