วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ตอน ปรับทุกข์
พนักงานโรงแรมอย่างเราบางทีก็ต้อง Service กันแบบ โค ตะ ระ Mind เลยนะเรียกได้ว่าต้องเป็นทุกอย่างให้เธอแล้วกันจริงๆ เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนที่เฮียเข้ารอบดึกและเป็นเรื่องที่เฮียจำได้ดีเลยว่ามันเป็นการดูแลแขกแบบเหนือจินตนาการเลยจริงๆ
วันนั้นจำได้ว่าเป็นเวลาประมาณตี 2 ซึ่งเฮียก็จัดการตรวจ Room Rate เสร็จเรียบร้อย ตรวจ Bill เรียบร้อยแล้วก็ไปเดินตรวจโรงแรมมาเรียบร้อยสำหรับรอบแรกก่อนกลับมาที่หน้า Front เพื่อจะมาช่วยน้องมันเตรียม Reg. Card สำหรับ Check In วันใหม่ทีนี้อยู่ก็มีแขกกระทาชายนายหนึ่งลงมาหน้า Front แล้วก็เดินร้องไห้มาเลยออกจากลิฟท์มาก็ตรงดิ่งมาหาเฮียเลยเฮียก็ตกใจแล้วรีบเข้าไปถามว่า “ยูเป็นอะไรหรือเปล่า” ตอนนั้นที่กลัวอย่างเดียวคือกลัวแขกไม่สบายเจ็บปวดอะไรจนร้องไห้หรือเปล่าแต่พอถามจบแขกก็พูดขึ้นมาว่า “ยูมีเวลาฟังชั้นสัก 5 นาทีไหม”
พูดจบเฮียนี่รู้สึกแบบ “เฮ้ย!! จะมาไม้ไหนวะ??” แต่ก็ด้วยความมีจิตวิญญาณแห่งการบริการสูงปรี๊ดชนิดตึกใบหยกยังอายก็เลยบอกแขกไปว่า “ด้วยความยินดี” แล้วก็พาแขกไปนั่งที่ Lobby พอนั่งเสร็จแขกก็ร้องไห้ออกมาเฮียก็เลยหันไปบอกน้อง G.S.A ให้เอากระดาษทิชชู่มาให้แขกหน่อยแขกร้องไห้อยู่พักนึงโดยที่เฮียก็ไม่ได้กวนอะไรอยากให้เค้าระบายให้หมดพอตั้งสติได้แขกก็บอกมาว่า “แฟนชั้นเค้าทิ้งชั้นไปมีคนใหม่เค้าไม่สนใจชั้นแล้วชั้นไม่เข้าใจว่าทำไม? ชั้นไม่ดีตรงไหน? ชั้นผิดอะไร” ด้วยความเป็นพนักงานโรงแรมที่ดีนั่นหมายความว่าเราต้องช่วยเหลือแขกให้ดีที่สุดแม้เรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่เกี่ยวกับปัญหาด้านการเข้าพักของแขกแต่ถ้าปล่อยให้แขกเก็บกดแบบไม่มีที่ระบายแบบนี้ปัญหาอื่นๆ อาจตามมาได้แบบที่เราอาจไม่คาดคิด
เฮียก็เลยตัดสินใจอยู่รับฟังและปลอบใจเค้าไปก็คุยกลับไปว่า “ยูใจเย็นๆ ก่อนนะชั้นคิดว่าเรื่องทุกอย่างมันมีทางออกยูลองให้เค้าใจเย็นๆ แล้วคุยกันอีกทีดีไหม? เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น” แขกก็ตอบกลับมาแบบเคล้าน้ำตาเลยว่า “มันเป็นไปไม่ได้แล้วแหละเพราะเค้าไปมีคนใหม่แล้วและชั้นก็เพิ่งรู้ว่าเค้าคบกันมาเกือบปีแล้วโดยที่ชั้นไม่รู้” จากนั้นก็ดราม่ามาอีกดอกนึงโดยการร้องไห้เล่นใหม่รัชดาลัยเธียร์เตอร์เลยตัดพ้อกับตัวเองไปว่า “ทำไมต้องทิ้งชั้นไป ทำไมทำอย่างนั้น ทำไมทำอย่างนี้” รวมแล้วก็น่าจะเกิน 5 นาทีไปไกลโขแล้วแหละเฮียก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะพี่แกเล่นใหญ่ไม่หยุดเลยก็เลยรอจังหวะเค้าเหนื่อยและหยุดพักก่อนจะพยายามใช้ Human Touch โดยการจับแขนเค้าเบาๆ แล้วปลอบใจเพื่อให้เขารู้สึกดีขึ้นแล้วก็เลยเปิดอกคุยกันเลยตามประสาคนเคยมีประสบการณ์การโดนทิ้งว่า “ยูรู้ไหมชั้นก็เคยเจอแบบยูนะ เจอแบบที่เค้าไปแล้วไม่บอกชั้นเลยแหละชั้นไปเจอเค้าอีกทีตอนเค้าไปอยู่กับคนอื่นแล้ว” คราวนี้แขกเริ่มนิ่งไปชั่วขณะแล้วเริ่มเพิ่งความสนใจมาที่เรื่องของเฮียและกลายเป็นว่าตอนนี้กำลังจะเกิดภาวะ “สลับข้างกันระหว่างคนฟังกับคนรับฟัง” 555 แขกก็ถามกลับมาว่า “แล้วยูทำยังไง?” เฮียก็ตอบไปว่า “ชั้นจะทำอะไรได้เพราะเขาไปขนาดนั้นแล้วคงจะให้เขากลับมาไม่ได้เพราะมันเป็นอดีตชั้นเลย Focus ที่อนาคตเพราะชั้นเชื่อว่าชั้นต้องเจอคนที่ดีกว่าแน่นอนแล้วชั้นก็ผ่านมันมาจนได้ถึงวันนี้” แขกก็ยื่นมือมาจับแขนเฮีย “ยูเข้มแข็งมากเลยนะชั้นอยากเป็นแบบยูบ้าง”
เฮียก็เลยปลอบใจไปอีกว่า “มันเป็นเรื่องปกติแหละตอนนี้ยูเสียใจแต่ถึงจุดหนึ่งยูจะเฉยๆ กับเรื่องนี้เพราะมันก็จะผ่านไปยูกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” แขกก็นั่งพยักหน้ายังมีสะอื้นอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ร้องไห้หนักแล้วทีนี้เฮียเลยปลอบใจไปดอกสุดท้ายว่า “ทุกวันนี้ชั้นก็มีความสุขดีกับคนที่ชั้นคบยูเชื่อชั้นนะว่ายูยังจะเจอคนอีกเยอะสักวันยูจะเจอคนใหม่ที่อาจจะดีกว่าก็ได้” แขกก็เริ่มดีขึ้นเลยทีนี้แล้วก็ของคุณเฮียก่อนชวนกันคุยเรื่องอื่นๆ ต่ออีกสักพักแล้วก็มีเรื่องแฟนเค้าแทรกมาเป็นระยะๆ ว่าไปไหน ทำอะไรกันมา ซึ่งก็ยังมีอารมณ์เศร้าอยู่บ้างแต่ไม่มากเหมือนก่อนสุดท้ายผ่านไป 30 นาทีแขกก็ OK แล้วก็ขอตัวขึ้นห้องไปนอนก่อนของคุณเฮียที่ช่วยรับฟังเค้า
เคสนี้ก็เรียกได้ว่า “เป็นทุกอย่างให้แขกจริงๆ สำหรับ ยอดมนุษย์โรงแรม อย่างเรา”


ไม่มีความคิดเห็น:

บทความแนะนำ