วันพฤหัสบดีที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2561

ตอน ฉันมันแค่วายร้าย


ตอน ฉันมันแค่วายร้าย 

คืออย่างที่บอกว่าพนักงานโรงแรมเรานี่บางครั้งเราก็ทำเรื่องที่รักษาความปลอดภัยและผลประโยชน์ของแขกแต่ก็มักจะเจอกับอาการหงุดหงิดและโดนแขกด่ากลับมาทุกทีเหมือนเคสที่กำลังจะเล่านี้เกี่ยวกับเรื่องการใช้บัตรเครดิตในการจอง วันนี้เฮียรับ Check In แขกท่านหนึ่งมาถึงก็ทักทายกัน “สวัสดีครับยินดีต้อนรับสู่โรงแรม...ครับ” แขกก็ตอบมา “ขอบคุณครับ” แล้วก็ควักบัตรประชาชนและ Hotel Voucher (VCH) ให้เฮียก็รับมาเช็คแล้วก็ไปทียบกับเอกสาร Correspondence ที่ได้รับมาจาก RSVN ซึ่งแขกคนนี้เค้าจองผ่าน OTAs มาแล้วอย่างที่พวกเรารู้กันว่าทาง OTAs เค้าก็จะมีตัว VCH นี้มาให้ทางโรงแรมด้วยเช่นกันซึ่งในส่วนของโรงแรมมันก็จะมีหมายเลขบัตรเครดิตมาให้ด้วยเพื่อให้ทางโรงแรมได้ทำตาม Policy ที่กำหนดไว้ว่าจะตัดเงินก่อนเข้าพักหรือไม่ตัดและรอแขกมาชำระเพราะแม้เค้าจะบอกกับแขกว่า “ไม่เรียกเก็บเงินทันทีหลังการจองและสามารถชำระตรงได้ที่โรงแรม” แต่เค้าก็จะมีเงื่อนไขบอกไว้อีกว่า “ในกรณีบางโรงแรมอาจเรียกเก็บเงินค่า Deposit ได้เช่นกัน” เพราะบางทีเป็นช่วง High Season ถ้ายกเลิกโดยไม่ได้เก็บอะไรเลยแม้แต่ No Show Charge โรงแรมก็จะเสียโอกาสไป

ซึ่งหลายๆ ครั้งบางโรงแรมเลือกที่จะไม่ไปตัดบัตรแขกเพื่อเป็นค่า Deposit แล้วเกิดแขก CXL ขึ้นมาแบบนี้มันก็เป็นข้อพิพาทอยู่ระหว่าง OTAs กับโรงแรมว่าจะตามเก็บ No Show Charge กันยังไงหลายๆ โรงกังวลและมีปัญหากันกับตรงนี้อยู่พอสมควร ตัดกลับมาที่เคสนี้ต่อเฮียก็เทียบเอกสารแล้วปรากฏว่าชื่อตรง วันที่ตรง นามสกุลตรง ทุกอย่างตรงหมดแต่ไปสะดุดตรงที่หมายเลขบัตรเครดิตที่ใช้จองเพราะบัตรที่แขกให้เฮียมาตอนนี้กับบัตรที่จองใน VCH ของโรงแรมมันคนละชื่อนามสกุลกันซึ่งตอนนั้น OTAs เค้าก็บอกแล้วชัดเจนตอนจองว่า “บัตรที่ใช้จองต้องเป็นบัตรเดียวกับที่ใช้ชำระกับโรงแรม” เฮียก็เลขบอกแขกไปว่า “ขอโทษนะครับรบกวนขอบัตรเครดิตที่ใช้ในการจองด้วยนะครับ เราต้องใช้บัตรที่มีหมายเลขเดียวกันเพื่อยืนยันตัวตนครับ” แขกก็บอกว่า “มีปัญหาอะไรเหรอครับ ก็ผมนี่แหละครับคนจองแล้วก็มา C/I อยู่ คุณดูชื่อในเอกสารกับบัตรประชาชนผมก็ได้นี่” เฮียก็แจ้งแขกไปอีกว่า “ทราบครับ แต่ต้องรบกวนขอบัตรเครดิตที่ทำการจองมาเพื่อเช็ครายละเอียดด้วยนะครับ” (จริงๆ ที่อยากแนะนำถ้าเลี่ยงได้อย่าพูดคำว่า “มันเป็นนโยบายหรือเป็นกฏของโรงแรม” หรือ บลา บลา บาล เพราะเชื่อมั้ยว่าจากประสบการณ์เฮียถ้าพูดแบบนี้แขกจะยิ่งโมโหเพราะมันจะเหมือนกันว่าเราอธิบายอะไรเค้าไม่ได้แล้วเลยเอากฏระเบียบมาอ้างทำให้เค้าไม่เข้าใจและโมโหยิ่งขึ้น) แขกก็เริ่มหงุดหงิดแล้วบอกว่า “ผมไม่มีหรอกผมมีแต่ใบนี้แหละใบนั้นตอนที่ทำจองเป็นของเพื่อนผมเค้าจองให้ผม” อืมมม กรรม เพื่อนจองให้ดีนะว่าโรงแรมไม่ได้ตัดเงินไปแล้วไม่งั้นถ้าเกิดตัดแล้วจะต้องเซ็นสลิปนี่คงสนุกน่าดูเลยเพราะตัวเจ้าของบัตรอยู่ไหนไม่รู้ ถ้าคิดว่าจะทำ Card. Ver. และ Offline เอา เกิดเจ้าของบัตรเค้าปฏิเสธการจ่ายเพราะบอกว่าไม่ได้พักแล้วชื่อที่เข้าพักก็ไม่ใช่ชื่อเค้าโรงแรมต้องเสียค่าห้องให้พี่แกพักฟรีๆ เลย

ทีนี้เฮียก็ไม่ยอมเพราะเรื่องแบบนี้มัน Sensitive มากเพราะไม่รู้เลยว่าแขกเป็นใครมายังไง? มีเจตนาแบบไหน เฮียก็เลยบอกแขกว่า “เดี๋ยวผมขอติดต่อทาง OTAs ให้นะครับเพื่อคุณผู้ชายจะได้แจ้งเปลี่ยนหมายเลขบัตรเครดิตที่ทำการจองและให้เค้า Revise ตัว VCH มาใหม่นะครับเพราะบัตรที่ตัดเงินต้องเป็นชื่อเดียวกับบัตรที่จองครับ คราวนี้แหละโมโหหงุดหงิดเลยด่าโรงแรม “ยุ่งยาก เรื่องมาก ที่อื่นไม่เห็นทำแบบนี้เลย วุ่นวาย” สุดท้ายบอกว่า “งั้นผมไม่พักแล้วผมขอยกเลิกการจอง” เฮียก็เลยบอกแกไปว่า “จริงๆ เราสามารถติดต่อให้คุยกับทาง OTAs เพื่อเปลี่ยนแปลงหมายเลขบัตรได้นะครับ แต่พี่แกคงโมโหมากเลยบอกว่า “ไม่เป็นไรผมไม่พักแล้วช่วย Cancel Booking ให้ผมด้วย ผมจะไปนอนที่อื่น” เฮียก็ตอบไปว่า “ได้ครับ ต้องขอโทษในความไม่สะดวกด้วยนะครับ” พูดจบพี่แกสวนมาเลยว่า “นี่คุณจะ Cancel Booking ของผมจริงๆ เหรอ คุณไม่คิดจะหาทางแก้หน่อยหรือไง”

อ้าววว เมื่อกี้ก็บอกทางแก้อยู่นะ เฮียก็เลยบอกไปใหม่ว่า “งั้นรบกวนรอสักครู่นะครับทางผมจะติดต่อ OTAs ให้ครับ” แล้วเฮียก็ต่อสายก่อนให้แขกคุยกับต้นทางสักพักเค้าก็ส่งตัว VCH ตัวใหม่มาให้พร้อมข้อมูลใหม่จนได้ Check In ซึ่งระหว่างรอเฮียก็ยืนรับศีลรับพรกันไปว่าด้วยเรื่องของ “พนักงานบริการไม่ดี เรื่องมาก ยุ่งยาก จะไม่มาพักแล้ว” สารพัดพรอันประเสิรฐ์ที่เกิดขึ้นหน้า Lobby เรียกได้ว่า อิ่มกันไปเลยทีเดียวสำหรับเฮียตอนนั้น จริงๆ ถ้าจะให้อธิบายโดยละเอียดคือหลายๆ ครั้งมันมีมิจฉาชีพเอาบัตรคนอื่นมาทำการจองแล้วก็เนียนๆ มาชำระเงินโดยบอกว่า เพื่อนจองให้บ้าง คนรู้จักจองให้บ้าง ซึ่งโรงแรมไหนไม่ทันระวังและปล่อยให้ Check In เข้าไปโดยที่ชื่อคนพักไม่ได้เป็นชื่อเดียวกับเจ้าของบัตร พอสุดท้ายเจ้าของบัตรเค้ารู้ตัวแล้วแจ้งอายัดเงินไม่ยอมจ่ายเพราะเค้าไม่ได้เข้าพัก ต่ำๆ เงินที่ต้องถูก Hold ไว้เพื่อรอสอบสวนประมาณ 120 วัน ดีไม่ดีสอบออกมาแล้วปรากฏว่าเจ้าของบัตรตัวจริงถูกขโมยไปคราวนี้โดนปฏิเสธการจ่ายเสียหายไปอีก นี่คือเหตุผลว่าทำไมโรงแรมและแม้แต่ OTAs จะขอดูบัตรเครดิตที่ใช้ในการทำการจองในขั้นตอนของการ Check In ก่อนเสมอ แต่เดี๋ยวนี้จะสะดวกขึ้นเพราะบาง OTAs ให้เลือกเลยว่า “จะจองเองหรือจองให้คนอื่น” เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับทั้งแขกและโรงแรม

ไม่มีความคิดเห็น:

บทความแนะนำ