วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565

 ตอน เจ็บใจ คนรักโดนรังแก


มีอยู่ครั้งหนึ่ง (จริงๆ ก็หลายครั้งแหละ) เฮียเจอเคสเสี่ยงบาทา เป็นเรื่องของ “ความรักเป็นเหตุสังเกตุได้” 

โดยเรื่องมันเริ่มต้นขึ้น ณ ช่วงดึกวันหนึ่งที่เฮียเข้างานรอบดึก มีชายจากดินแดนตะวันออกกลางคนหนึ่งเดินหน้ามุ่ยเข้ามาที่ Lobby พร้อมน้องนางหนึ่งคน เฮียที่กำลังยืนตรวจ Room Rate อยู่เลยรีบเข้าไปหาแขกแล้วกล่าวทักทาย “สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยเหลือครับ?” แขกคนนั้ที่ดูหงอยเหงา ในมือของเขามีทินเนอร์ เอ้ย!!! ไม่ใช่ๆ แขกก็สาดอารมณ์ใส่มาเต็มๆ เลยบ่งบอกได้ว่า “โมโหมาก” คือตอนนั้นเฮียก็ งงๆ นะ เพราะเขาไม่ได้ลงมาจากห้องพักแต่เดินเข้ามาจากด้านหน้าโรงแรมบ่งบอกว่าน่าจะออกไปทำธุระแล้วกลับเข้ามา การโมโห นี้ไม่น่าจะเกี่ยวกับโรงแรม แต่ก็ด้วยความที่ยังไม่รู้นี่แหละเลยคาดการณ์อะไรมากไม่ได้ ทำได้แค่ตั้งรับไว้ก่อน

แขกบอกเฮียมาด้วยอารมณ์โมโหว่า “ทำไม รปภ. ต้องขอดูบัตรประชาชนของผู้หญิงคนนี้เค้ามากับชั้น?” โอเค จบประโยคนี้เราอนุมานได้ว่าน่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องของน้อง Join แต่น่าจะไม่ใช่ปัญหาที่ตกลงกับน้องเค้าไม่ได้เหมือนในหลายๆ เคส น่าจะเป็นปัญหาอื่น ว่าแล้วเฮียก็ขอทราบหมายเลขห้องแขกก่อนเพื่อเช็คว่าเป็นใครมาจากไหน แขกก็บอกห้องมา เฮียก็เอาไปเช็คใน PMS เจอตัวตนแขกเรียบร้อยซึ่งในการเข้าพักนั้นแขกลงทะเบียนไว้คนเดียวไม่มีใครอื่น อธิบายก่อนว่าในรอบกลางคืนนั้นจะมี รปภ. หรือ Bell Boy คอยตรวจเช็คน้อง Join ที่มาเข้าพักกับแขกเพื่อป้องกันการแอบอ้างเป็นแขกที่เข้าพัก ซึ่งก็เป็นไปตาม Process ปกติ ที่ต้องมีการขอดูบัตรประชาชนและเก็บบัตรประชาชนไว้เพื่อความปลอดภัยของแขกและก็ของตัวน้อง Join ด้วยนี่แหละเผื่อเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้น” แต่ก็อย่างที่รู้ว่ามันจะมีหลายครั้งที่แขกจะ “แสดงอภินิหารต่อหน้าน้องนางด้วยการปฏิเสธที่จะไม่ให้น้อง Join ให้บัตรประชาชนกับทางโรงแรม” ซึ่งก็ต้องหาเหตุผลมาอธิบายกันไป

เฮียก็เลยแจ้งแขกไปว่า “ยูต้องการจะให้เขา (น้อง Join) ลงทะเบียนเข้าพักไว้กับยูด้วยเลยไหม? เพราะห้องพักยูพักได้สองคนอยู่แล้วไม่ใช่ Single Occupancy เราจะได้ไม่ต้องขอตรวจสอบบัตรประชาชนเขาในครั้งต่อไป” แขกก็โมโหต่อว่าเฮียว่า “ไม่...เค้าแค่มาหาชั้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น” ทีนี้ก็ต้องอธิบายกันอีกว่าทำไมถึงต้องมีการขอบัตรประชาชนน้อง Join เพราะยังไงพี่แกก็ไม่ยอมเข้าใจซะทีแม้จะให้เหตุผลเรื่องความปลอดภัยของตัวแกเองนี่แหละว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ติดตามน้อง Join ได้เพราะในสังคมมันก็มีทั้งคนดีคนไม่ดีปะปนกันไป เราไม่มีทางรู้ว่าใครเป็นใคร แต่แขกก็ไม่เข้าใจ

น้อง Join ที่เห็นแขกโมโหก็รีบเข้ามาหาเฮียแล้วยื่นบัตรประชาชนให้ก่อนหันไปบอกแขกว่า “OK” เหมือนพยายามจะอธิบายว่า “เข้าใจ Process โรงแรมและ OK กับการให้บัตรไม่มีปัญหา” แต่แขกก็ยังไม่จบยังหันมาบอกกับน้องเค้าว่า “แต่ชั้นไม่ OK” แล้วก็หันมาโชว์รวยใส่เฮียอีกว่า “ชั้นต้องจ่ายเท่าไหร่?” ป๊าดดด รวยแท้หนอ เฮียก็เลยตอบไปว่า “ ผมไม่ง่ายนะครับ เอ้ย!! ไม่ใช่ๆ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย แค่ยูแจ้งมาว่าจะให้เขาลงทะเบียนเข้าพักด้วยไหม หรือจะให้เขาฝากบัตรไว้ แค่นั้นเอง” แต่ในชีวิตการทำงานรอบดึกของคุณน้อยครั้งนักที่คุณเจอเคสแบบนี้แล้วมันจะจบลงด้วยดี แขกก็จะไม่ยอมท่าเดียวและจะพาน้องขึ้นห้องให้ได้โดยที่ไม่ยอมให้บัตร เฮียก็ยืนยันคำเดิมว่า “ถ้าไม่ฝากบัตรไว้ก็ไม่ให้ขึ้น” สักพักแขกถามหา “ผู้จัดการ” คราวนี้เฮียก็เลยแสดงตัวไปว่า “ฉันเป็นผู้จัดการรอบดึกวันนี้และมีหน้าที่ในการดูแลแขกทุกคนรวมทั้งยูด้วย” แขกก็ไม่ยอมและยกสถานะขึ้นไปอีกว่า “ชั้นต้องการคนที่ใหญ่กว่ายู” จังหวะที่เฮียกำลังอ้าปากจะอธิบาย ทันใดนั้นน้อง Join เหมือนจะอยากไปให้พ้นจากคนแถวนี้ คือพยายามที่เอาบัตรมาให้เฮียแต่แขกก็ยังห้ามไว้ตลอด

เฮียเลยหันไปมองน้อง Bell Boy ส่งสัญญาณลับข้ามเวลาที่รอบดึกซึ่งอยู่คู่กันมาจะรู้กัน ก่อนเฮียใช้วิธีการ “เล่าเรื่อง” เพราะถ้าใช้การอธิบายยังไงแขกก็ไม่น่าจะฟังเฮียเลยลองเปลี่ยนวิธีซึ่งตอนนั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะได้ผลไหม 555 เพื่อให้แขกสงบสติอารมณ์โดยค่อยๆ ดึงความสนใจแขกมาทีละนิดด้วยประโยคคำถาม “ยูรู้ไหมว่าทำไมเราต้องเก็บบัตรประชาชนเขา?” แขกเริ่ม งง ว่ามันจะมาไม้ไหนวะเมื่อกี้ยังยืนมึนๆ อยู่เลย แขกก็ตอบกลับมาแบบมีอารมณ์แต่เหมือนเบาลงเพราะเริ่มจะ งง กับท่าทีของเฮีย 555 “ชั้นไม่รู้หรอก นั่นไม่ใช่ธุระของชั้น” เฮียก็เลยบอกแกไปว่า “ยูโชคดีนะน้องคนนี้เค้าเป็นคนดีและยอมปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงแรมไม่เหมือนกับเคสเมื่อเดือนก่อนนี้เลย” คราวนี้แขกเริ่ม งง อีกรอบและถามกลับมา “เคสอะไร?” เฮียก็เล่าให้แขกฟัง “มีแขกคนนึงแอบพาบุคคลภายนอกขึ้นไปโดยไม่ยอมบอกเราและไม่ยอมให้บุคคลภายนอกนั้นให้บัตรประชาชนซึ่งเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการอ้างอิงตัวตนของบุคคลภายนอกไว้กับเรา....แล้วยูรู้ไหมเกิดอะไรขึ้นกับเขา?” แขกเริ่ม งง แต่ยังมีท่าทีหงุดหงิดอยู่ “อะไร?” เฮียก็เลยเฉลยไปว่า “แขกคนนั้นโดนรูดทรัพย์หมดตัวเลย จนต้องไปติดต่อสถานฑูต โรงแรมก็ติดตามอะไรคนร้ายไม่ได้เลยเพราะไม่มีเอกสารอะไรให้ติดตาม

จังหวะที่กำลังดึงความสนใจแขกมาตอนแรกนั้นเฮียหันไปบอกน้อง Bell Boy รอบดึก ซึ่งเป็นภาษากายที่เรารู้กันว่า “ถ้าเกิดกรณีนี้ให้เข้าไปทางน้อง Join และรับบัตรมาเลยโดยไม่ให้แขกรู้” เนื่องจากปัญหาไม่ได้อยู่ที่น้องแต่อยู่ที่แขก ถ้าเคลียร์ทุกอย่างเรียบร้อยตามกระบวนการก็จบ

แขกฟังเฮียจนจบทีนี้ก็หันไปมองผู้หญิงแล้วก็หันกลับมาหาเฮียก่อนพูดด้วยเสียงที่ยังหงุดหงิดอยู่แต่น้อยลงว่า “ไม่เป็นไรชั้นดูแลตัวเองได้” เฮียก็เลยแจ้งแขกไปว่า “เชิญขึ้นห้องได้เลยนะ ตอนนี้แขกของยูให้บัตรเราเรียบร้อยแล้ว” แขกก็เหมือนจะตกใจนิดๆ ว่ามันไปให้กันตอนไหนวะ และยังไม่ทันจะอ้าปากน้อง Join ก็คว้าแขนแล้วรีบเดินขึ้นห้องเลย แขกก็โดนลากไปแบบ งงๆ หันหลังกลับมาจะด่าต่อแต่ก็ไม่ทันเพราะน้อง Join พาเข้าลิฟท์เรียบร้อยแล้ว เอวัง ด้วยประการละฉะนี้แล 

#hotelman #hotelmantravel #hotelblogger#hoteljob #hotelstaff




ไม่มีความคิดเห็น:

บทความแนะนำ