วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มาเองไม่ใช่หรือไงวะ



แว้บแรกที่นึกว่าตัวเองจะทำบล็อกอะไรดี ผมนึกอย่างอื่นไม่ได้เลยว่าถ้าผมไม่เขียนเรื่องราวที่เกี่ยวกับอาชีพที่ผมทำอยู่ในขณะนี้ แล้วผมจะไปเขียนเรื่องอะไรได้อีก เพราะอาชีพงานบริการโดยเฉพาะงานโรงแรมอย่างผมนั้น ถือได้ว่ามีสีสันเป็นอย่างมากเพราะเนื่องจากเราต้องทำงานตามอารมณ์แขกที่เข้าพัก ไม่ว่าจะถูกหรือจะผิดอย่างไร พนักงานโรงแรมทุกคนจะถูกสอนให้จำไว้เสมอว่า แขกถูกตลอด แม้บางเรื่องที่เขาตำหนิ จะรู้ทั้งรู้ว่าเราไม่ผิดเพราะลูกค้าทำไม่ถูกเอง เช่นจะใช้สิทธิ์ห้องพักราคาสมาชิกแต่เจ้าของบัตรไม่ได้มา และก็ไม่มีบัตรมาเพียงแต่แอบอ้าง เชื่อมั้ยครับว่า เราก็ต้องให้เขาพักในราคาสมาชิก จริง ๆ อาชีพนี้เป็นอาชีพที่คลาสสิคครับ คือคุณสามารถโดนด่าได้ตลอดเวลาโดยที่คุณอาจไม่ทันตั้งตัว อีกอย่างหนึ่งที่ลืมเอ่ยถึงไม่ได้ก็คือ โรงแรมจะเหมือนกับสถานที่สำหรับพวกที่เก็บกดทั้งหลายที่เคยแต่บริการเค้า แต่ไม่ได้เคยได้รับการบริการเลย พวกนี้เวลามาก็จะชอบขอนู้นขอนี่ขอนั่น พนักงานโรงแรมเหมือนคนใช้สำหรับเขาต้องฟังเขาต้องตามใจเขา อีกอย่างที่เจอก็แขกพวกผู้สูงอายุขี้เหงา ประมาณว่าอยู่บ้านลูกเต้าไม่คุยด้วยเลยมาหาเรื่องตำหนิโรงแรม เพื่อจะได้มีคนสนใจ ประโยคนึงที่ผมจำตลอดเวลาที่ทำงานโรงแรมก็คือ “ถ้ารู้อย่างนี้ กรูไม่มาทำงานโรงแรมดีกว่า” เป็นประโยคที่ผมต้องสำนึกจำใส่กะโหลกน้อย ๆ ของผมอยู่ตลอดเวลาที่ผมคร่ำหวอดอยู่ในวงการโรงแรม ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่างานโรงแรมไม่ดี แต่เปล่าเลยงานโรงแรมน่ะดี ๆ มากถึงมากที่สุดในเรื่องของรายได้และการเจริญเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงานอันใหญ่โตมโหฬารบานตะไท แต่ก่อนที่คุณจะไปถึงจุดนั้นได้คุณต้องผ่านกับสารพัดเรื่องเหล่านี้ให้ได้ซะก่อนโดยที่คุณต้องไปไม่ความรู้สึกรู้สาอะไรประมาณว่าตายด้านไปเลยได้ยิ่งดี สิ่งแรกที่คุณจะต้องเจอคือเรื่อง Guest Complain นี่คือเรียกให้หรูแต่ถ้าเรียกภาษาบ้าน ๆ ก็คือ ต้องโดนแขกด่านั่นเอง ตัวอย่างที่ผมเคยเจอมาก็เป็นกรณีสุดฮิตครับ ประเภทว่า she มาเช็คอินท์ตั้งแต่ 10 โมงเช้าซึ่งตามกฏโรงแรมมันเป็น Early Check in ต้องทำ Charge ครึ่งราคาของค่าห้องใช่ไหมครับพอแจ้ง she ไปปรากฏว่า She ก็ไม่เอาค้า โชว์ความเป็นคุณแม่บ้านยอดประหยัดอันเป็นที่รักของสามีสุดฤทธิ์ ผมก็โอเคครับงั้น Check in Time บ่ายสองโมงน๊ะครับซึ่งผมก็มั่นใจว่ามันเป็นเวลามาตรฐานการ Check in ของโรงแรมทั่วโลกแม้แต่โรงแรม ห้าดาว หกดาว เจ็ดดาว แปดดาว หรือหาดาว มันก็ต้อง check in ตอนบ่ายสองโมงเป็นสรนะ ก็โอเค She ก็กรอก Register ทำ Card Verified เป็น Deposit ค่าห้องให้เรียบร้อยสุดฤทธิ์ แล้วสักพัก She ก็หายไป ผมก็โอเคโทรแจ้งแม่บ้านขอห้อง VC (ห้องสะอาดเตรียม Check in) สักพักเวลาประมาณ 12 นาฬิกาตรง ปรากฏร่างของหญิงผู้หนึ่งเดินมาที่หน้า Lobby พร้อมกับสอบถามผมด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มว่า “ห้องพี่ได้หรือยังคะ” ผมเงยหน้าขึ้นมองหน้า She อย่าง งง พลางนึงในใจ (อ้าวอีนี่ เมื่อกี้กูบอกมึงแล้วนี่ว่าถ้าเมิงจะเช็คอินท์ก่อนบ่ายสองกูจะขอชาร์จครึ่งราคาแต่เมิงได้ห้องเลย เมิงก็ไม่เอา เมิงจะรอ พอกรูบอกถ้ารอก็เช็คอินท์บ่ายสองโมง แล้วนี่เพิ่งเที่ยว เมิงจารีบมาหาลูกสาวคุณยายเมิงเหรอ) ผมตอบกลับไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มอันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของพนักงานโรงแรมทุกคนที่ต้องยิ้มไว้ก่อน ผิด ถูก โกรธ โมโห หรืออะไรกูไม่รู้แต่ที่รู้คือกรูต้องยิ้มไว้ก่อน “ตอนนี้ห้องยังไม่เรียบร้อยครับเดี๋ยวบ่ายสองโมงรบกวนมาติดต่ออีกทีน๊ะครับ” พลันสิ้นประโยค She ก็ ปรี๊ดแตกเลยครับ “อะไรกันน้อง พี่รอห้องมาสองชั่วโมงแล้วน๊ะ ยังไม่เสร็จอีกเหรอ เนี่ยมาตั้งแต่สิบโมงแล้วน๊ะ นี่โรงแรมห้าดาวน๊ะเนี่ยทำไมปล่อยให้แขกรอห้องนานจัง” แม้ว่าผมจะอธิบายเท่าไหร่เธอก็ไม่สนใจ ประมาณว่าผมคงพูดคนละภาษากับเธอน่ะคับ ทั้ง ๆ ที่มองหน้าเธอแล้ว เอ นี่ก็มนุษย์โลกเหมือนเรานี่หว่าไม่ได้พวกต่างดาวซะหน่อยทำไมกรูพูดกับมันไม่รู้เรื่องวะ เธอวีนอยู่ได้สักพักนึง แล้วก็เดินจากไปพร้อมกับอารมณ์ งง ๆ ของผม เอ๊ะ เมิงมาโรงแรมตอน 10 โมง กรูก็ไม่ได้ไปลากเมิงออกมาจากที่นอนนี่หว่าเมิงก็ขับรถมาของเมิงเอง แล้วตอนเช็คอินกรูก็บอกแล้วว่า บ่ายสอง นี่มันเพิ่งเที่ยง ไม่ทราบว่านาฬิกาเมิงนี่ไม่ได้ตั้งตรงตามเวลาในสากลโลกเหรอ หรือเมิงดูนาฬิกาไม่เป็นวะเนี่ย ไม่เข้าใจ นี่คือตัวอย่างกรณีแรกที่พนักงานโรงแรมต้องเจอและต้องเตรียมตัวให้พร้อมอารมณ์ประมาณว่า ติวคณิตพิชิตเอนทรานส์ประมาณนั้นเลยคับ

ไม่มีความคิดเห็น:

บทความแนะนำ